วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

แฟรนไชน์ “ลูกชิ้นยิ้ม”


แฟรนไชน์ “ลูกชิ้นยิ้ม”ลงทุนต่ำ อร่อย สะอาด ปลอดภัยคืนทุนในวันแรกที่ขาย

วันนี้ทาง โอ้โห MakeMoneY.คอม มีเฟรนไชน์ดี ๆ มาแนะนำซึ่งเฟรนไชน์นี้เป็นธุรกิจเฟรนไชน์“ลูกชิ้นยิ้ม”ที่ได้รับความนิยมสูงด้วยจุดเด่นที่ว่าลงทุนต่ำ อร่อย สะอาด ปลอดภัย คืนทุนในวันแรกที่ขาย สำหรับท่านใดที่มีเงินทุนน้อยท่านไม่ต้องกลัวว่าธุรกิจลูกชิ้นยิ้มจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าธุรกิจอื่น แต่ความเป็นจริงนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ตายเพียงแค่อยากบอกว่า การลงทุนทำอะไรก็แล้วแต่มีความเสี่ยงกันทั้งนั้น อยู่ที่ว่าจะมากหรือน้อยก็เท่านั้นเอง ลูกชิ้นยิ้มนับว่าเป็นทางเลือกที่ดี โดยท่านสามารถเป็นเจ้าของธุรกิจเฟรนไชน์ลูกชิ้นยิ้ม ด้วยเงินลงทุนเพียง 2,200 บาท อะไรจะถูกขนาดนี้ เปิดรับสมัครผู้สนใจธุรกิจเฟรนไชส์แล้ววันนี้

แฟรนไชน์ลูกชิ้นต้องนึกถึงลูกชิ้นยิ้ม

เมื่อพูดถึงลูกชิ้น คงไม่มีใครที่จะบอกได้ว่าไม่เคยกิน เพราะลูกชิ้นอยู่คู่กับคนไทยมานาน ไม่ว่าจะนำมาใส่ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน ยำลูกชิ้น หรือประกอบอาหารต่างๆ ตลอดจนเสียบไม้ ปิ้ง ย่าง เรียกได้ว่า ลูกชิ้นไม่มีวันตายเลยทีเดียว  ลูกชิ้นมีมากมายหลายประเภทไม่ว่าจะเป็น ลูกชิ้นหมู ลูกชิ้นเนื้อ ลูกชิ้นไก่ ลูกชิ้นปลา ลูกชิ้นกุ้ง ต่อมามีการพัฒนาสูตรโดยการใส่ส่วนผสมอื่นๆลงไปในลูกชิ้น เช่น ลูกชิ้นสาหร่าย แต่ที่นิยมมากที่สุดก็คงจะไม่พ้นลูกชิ้นหมู ซึ่งมีมาแต่ดั้งเดิม เคยสังเกตไหมครับ ไม่ว่าจะไปไหน ก็มีแต่พ่อค้า แม่ค้าขายลูกชิ้น… คนขายมากมายขนาดนี้แล้ววันๆจะได้สักกี่ไม้??? คำตอบก็อยู่ในคำถามนั่นแหละครับ คนขายมากมาย แต่ยังอยู่ได้ นั่นหมายความว่าการขายลูกชิ้นสามารถสร้างรายได้ ให้พ่อค้า แม่ค้ามากมาย บางคนก็ขายหลังเลิกจากงานประจำ เป็นรายได้เสริม บางคนขายเป็นอาชีพหลัก จนสามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ ซึ่งยอดขายจะมากหรือน้อย ลูกค้าจะชอบแค่ไหน ก็ต้องอยู่ที่ความอร่อยของลูกชิ้น และน้ำจิ้มครับ
เค้าเตอร์ลูกชิ้นยิ้ม

แฟรนไชน์ “ลูกชิ้นยิ้ม”

เฟรนไชน์ “ลูกชิ้นยิ้ม” มีความต้องการขยายตลาด โดยเปิดขายเฟรนไชน์ให้ผู้ที่สนใจขายลูกชิ้นปิ้ง ได้เป็นส่วนหนึ่งในการขยายธุรกิจ เลือกลงทุนในราคาที่คุ้มค่า ใช้เงินทุนน้อย รูปลักษณ์ที่ทันสมัย ใช้พื้นที่น้อย สามารถถอดประกอบได้ และเราคัดลูกชิ้นหมูชั้นดี ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จึงมั่นใจได้ว่า อร่อย สะอาด ปลอดภัย แน่นอน พร้อมด้วยน้ำจิ้มสูตรเฉพาะของลูกชิ้นยิ้ม โดยท่านสามารถเป็นเจ้าของธุรกิจเฟรนไชน์ “ลูกชิ้นยิ้ม” ด้วยเงินลงทุนเพียง 2,200 บาท ไม่ต้องเสียค่าแรกเข้า ไม่ต้องเสียรายเดือน รายปี หรือเปอร์เซนต์ยอดขายใดๆรายละเอียดต่างๆ ตามตารางที่แนบมานี้เลยครับ
เปอร์เซนต์ยอดขาย

ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับผู้ที่สนใจ

สำหรับท่านใดที่สนใจเกี่ยวกับแฟรนไชส์ (ลูกชิ้นยิ้ม) ท่านสามารถศึกษารายละเอียดได้เพิ่มเติมจากเจ้าของแฟรนไชส์ ได้โดยตรง ตามช่องทางที่อยู่ด้านล่างนี้เลย รายละเอียดต่าง ๆ สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอด ดังนั้นเองถ้าสนใจแล้วควรติดต่อกับเจ้าของแฟรนไชส์ โดยตรงเป็นดีที่สุด
ติอต่อได้ที่  คุณ คมสันต์ สุดสาคร
ที่อยู่เลขที่ 1156 หมู่ 4 ต สำโรงเหนือ อ เมือง สมุทรปราการ
โทร 084-3602390
E-mail :: lookchinyim@hotmail.com

โอกาสทางธุรกิจมาแล้ว เดอะวอฟเฟิล แฟรนไชส์มา (The Waffle)


โอกาสทางธุรกิจมาแล้ว เดอะวอฟเฟิล แฟรนไชส์มา (The Waffle)

เดอะวอฟเฟิล แฟรนไชส์มาแรงมียอดขายที่เพิ่มขึ้นตลอดเวลามากกว่า 1 ล้านชิ้นต่อเดือน  ขนมเดอะวอฟเฟิลกินอร่อยกินง่ายเป็นที่นิยมกันมาก สามารถหารับประทานได้ตามศูนย์การค้าต่าง ๆ จะพบเห็นติดอยู่หน้าประตูทางเข้าออกที่ทีมีคนเดินเป็นจำนวนมาก ธุรกิจโดยภาพรวมของแฟรนไชส์นี้ ที่ลงทุนกับบริษัทฯ มีอัตราความสำเร็จสุงมากถึง 80 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว นับว่าเป็นทางเลือกที่ดีอีกหนึ่งทาง สำหรับสำหรับท่านใดที่ต้องการมีกิจการเป็นของตัวเองแล้วก็ แฟรนไชส์เดอะวอฟเฟิลนี้คงทำให้ท่านไม่ผิดหวังเป็นแน้ ก่อนที่จะเริ่มทำธุรกิจใด ๆ ก็ควรศึกษาข้อมูลให้ดีให้ครบถ้วน ทำให้เราเป็นต่อได้ในธุรกิจนั้น

THE  WAFFLE  FRANCHISE

เดอะวอฟเฟิล
THE  WAFFLE   ดำเนินธุรกิจร้านขนมวอฟเฟิล ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากความตั้งใจที่จะทำขนมอร่อยให้ลูกหลานได้ชิม แล้วขยายวงไปยังญาติพี่น้อง  คนในหมู่บ้านซึ่งได้รับคำชมจากทุกคนที่ชิมว่า  ขนมอร่อย  กลิ่นหอมน่ารับประทาน  ทำให้เราอยากทำขนมให้คนทั่วประเทศได้ชิม  ในราคาที่เหมาะสม และช่วยให้ผู้ที่มีเงินลงทุนน้อยสามารถทำธุรกิจส่วนตัวได้ง่ายขึ้น THE  WAFFLE    จึงออกมาในรูปแบบของธุรกิจ FRANCHISE เพื่อให้ประชาชนทั่วไปสามารถหาซื้อขนมวอฟเฟิลได้ง่าย ในมาตรฐานรสชาติและราคาเดียวกัน

โอกาสทางธุรกิจ

รายแรก ผู้นำตลาดแฟรนไชส์ Waffle รายแรกของไทยที่มีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศกว่า 170 สาขา ในปี 2554
อันดับ 1 เป็นผู้นำตลาดแฟรนไชส์วอฟเฟิลอันดับ 1 ที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุด 70 %
Franchise ดีเด่น ได้รับเลือกให้เป็น Franchise ดีเด่นในปี 2009 จากนายกรัฐมนตรี ธุรกิจแฟรนไชส์เติบโตยอดเยี่ยมปี่ 2010 จากงาน TFBO แฟรนไชส์มาตรฐาน 2010 จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และล่าสุดกับรางวัล มาตรฐานคุณภาพแฟรนไชส์ดีเด่นด้านยุทธศาสตร์องค์กร จากงาน thailand Franchise Quality Award 2010
ผลิตภัณฑ์คุณภาพ จากส่วนผสม ทั้งโยเกิร์ต และเนยสดแท้ๆ ด้วยสูตรลับเฉพาะที่เป็น เอกลักษณ์แสนอร่อย The Waffle ได้รับการรับรองมาตรฐาน GMP (Good Manufacturing Practice) ก่อนที่จะพัฒนาไปสู่ระบบประกันคุณภาพอื่นๆ ต่อไป เช่น HACCP (Hazards Analysis and Critical Control Points) และ HALAL อีกด้วย
เติบโตอย่างต่อเนื่อง 7 ปี กับการเติบโตอย่างต่อเนื่องในอัตราเพิ่มขึ้น 20 % ทุกปี
การตอบรับ The Waffle ได้รับการตอบรับในทางที่ดี ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศให้การยอมรับในรสชาติ และคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่พร้อมขยายสาขาไปยังต่างประเทศ อาทิ สิงคโปร์ มาเลเซีย จีน ดูไบ ฟิลิปปินส์ เป็นต้น
thewaffleเดอะวอฟเฟิล
ถูกต้องแล้วโอกาสทางธุรกิจมีไม่มากและมาไมาบ่อย เมื่อมาทักคุณแล้ว ขอเชื้อเชิญทุกคนทำความรู้จักกับโอกาสนี้สักหน่อย ก่อนที่จะผ่านเลยไป เดอะวอฟเฟิล เป็นธุรกิจที่มั่นคงไม่เป็นไปในแบบแฟชั่น ที่เข้ามาเพียงชั่วครู่และผ่านเลยไป จากจุดเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2547 จนถึงปัจจุบัน กับ 170 สาขา ถึงแม้เป็นสาขาเล็ก ๆ แต่ก็ทำเงินให้สมาชิกเป็นที่พอใจ คืนทุนได้ไม่ยากโดยเฉลี่ย 2-3 เดือน มีกำไรพอสมควรแก้ธุรกิจ และมั่นคง
ฟังเสียงกันชัด ๆ จากเจ้าของแฟรนไชส์ เดอะ วอฟเฟิล ขอขอบคุณ ThaiFranchise Tv.com

ข้อมูลเพิ่มเติม เดอะวอฟเฟิล แฟรนไชส์ (The Waffle)

ท่านใดที่สนใจเกี่ยวกับ แฟรนไชส์ (The Waffle) นี้ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดได้เพิ่มเติมจากเจ้าของแฟรนไชส์ ได้โดยตรง ตามช่องทางที่อยู่ด้านล่างนี้เลย รายละเอียดต่าง ๆ ทางบริษัท เดอะวอฟเฟิล ซัพพลายส์ จำกัด สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอด ดังนั้นเองถ้าสนใจแล้วควรติดต่อกับบริษัท โดยตรงเป็นดีที่สุด
ติดต่อ : บริษัท เดอะวอฟเฟิล ซัพพลายส์ จำกัด
ที่อยู่ : 419/41-44  ซ.ศรีด่าน 29 ถ.ศรีนครินทร์ ต.สำโรงเหนือ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ 10270
โทรศัพท์ : 02-7486410-11 , 082-6508866
อีเมลล์ : thewafflesupply@hotmail.com
เฟสบุ๊ค : https://www.facebook.com/pages/The-Waffle/100957436647272
ท่านสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : http://www.thewafflesupply.com/

เปิดร้านแฟรนไชส์แฟมิลี่มาร์ท


เปิดร้านแฟรนไชส์แฟมิลี่มาร์ทร้านนี้เข้ามีระบบ ประกันรายได้ให้คุณ

วันนี้ thaicareer มีข่าวดีมาบอก สำหรับท่านใดที่สนใจทำธุรกิจแฟรนไชส์แฟมิลี่มาร์ท รับรองได้ว่าท่านจะไม่ผิดหวัง เพราะมีการประกันรายได้ให้แก่ผู้ที่สนใจทำธุรกิจ และเงินลงทุนต่ำขอแค่ท่านมีใจรักในงานบริการเพียงเท่านี้ท่านก็สามารถเป็นเจ้าของธุรกิจแฟรนไชส์ได้ค่ะ
โอกาศดีสำหรับผู้ที่ต้องการเปิดร้านแฟรนไชส์แฟมิลี่มาร์ท ในกรุงเทพ – ปริมณฑล – ชลบุรี – พัทยา มาดูรายละเอียดกันก่อนเลย

มีการประกันรายได้

ถ้าคุณมีกำไรขั้นต้นก่อนหักค่าใช้จ่าย ต่ำกว่าที่บริษัทฯรับรอง บริษัทฯจะชดเชยส่วนต่างให้ จึงเป็นหลักประกันรายได้ให้คุณได้

ลงทุนต่ำ

ผู้ที่สนใจลงทุนแฟรนไชส์แบบที่1
  1. ต้องมีอาคารสถานที่เป็นของตนเอง
  2. มีเงินลงทุนเบื้องต้นประมาณ 1 ล้านบาท(ยังไม่รวมค่าตกแต่ง ปรับปรุงตัวอาคาร)
ผู้ที่สนใจลงทุนแฟรนไชส์แบบที่2
  1. ต้องการมีกิจการเป็นของตนเอง รักงานขาย
  2. มีเงินลงทุนเบื้องต้นประมาณ 1 ล้านบาท

สนับสนุนการบริหารร้านสาขา

เปิดร้าน familymart
เปิดร้าน familymart

  1. ให้ความช่วยเหลือด้านการจัดการ และข้อมูลความรู้สำหรับการดำเนินการ
  2. ให้คำปรึกษาตลอดจนการบริหารในด้านต่างๆ ที่จำเป็นต่อการบริหารร้าน
  3. การส่งเสริมการขายและโฆษณาประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง
  4. ให้ความช่วยเหลือด้านระบบและบัญชีและการเงิน
  5. จัดหลักสูตรอบรมที่เป็นมาตรฐาน ทั้งด้านการบริหารและการพัฒนาด้านระบบต่างๆ
  6. ให้ยืมเครื่องมือเครื่องใช้และอุปกรณ์ภายในร้าน
  7. ให้คำปรึกษาในการติดต่อหน่วยราชการ
  8. มีระบบตรวจนับสินค้าที่มีมาตรฐาน<
  9. จัดหาสินค้าและคัดเลือกผู้ผลิตที่มีคุณภาพ

ติดต่อสอบถามเปิดร้านแฟรนไชส์แฟมิลี่มาร์ท

บริษัท สยามแฝมิลี่มาร์ท จำกัด ชั้น 11 อาคารวานิช 2 1126/2 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400 www.familymart.co.th
โทร :: 0-2254-1845-9 , 0-2254-1632-51 ต่อฝ่ายพัฒนาธุรกิจ

กวนเชียงปลา’ ทำเงินจากคนเบื่อหมู


กวนเชียงปลา’ ทำเงินจากคนเบื่อหมู
ช่องทางทำกิน” วันนี้ทางทีมงานมีข้อมูล “กวนเชียงปลา” ภูมิปัญญาชาวบ้านที่นำสิ่งที่มีอยู่ในท้องถิ่นมาดัดแปลงปรับปรุงให้เกิดประโยชน์มากที่สุด และนำมาเป็นอาชีพเลี้ยงครอบครัวได้...

ชุมพล จั่นจำรัส เจ้าของผลิตภัณท์ “กวนเชียงปลา” ฝีมือหนุ่มนักสู้ชีวิตแห่งบางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา เล่าให้ฟังถึงที่มาของอาชีพทำกวนเชียงปลาขายว่า เป็นคนบางน้ำเปรี้ยวโดยกำเนิด อดีตเคยเป็นเซลส์ขายไอศกรีมมาก่อน พอแต่งงานมีครอบครัวก็ออกมาค้าขายอยู่ประมาณ 2 ปี มีปัญหากัน และได้แยกกับภรรยา จากนั้นก็ได้ไปบวชที่วัดเภตา จ.ระยอง

หลังลาสิกขากลับมาอยู่บ้านกับแม่ที่แปดริ้ว นั่งคิดว่าจะทำอาชีพอะไรเลี้ยงตัวเองและแม่ที่แก่แล้ว ก็มาลงตัวที่อะไรที่เกี่ยวกับ “ปลา” “ที่นี่มีคนเลี้ยงปลากันมาก ผมชอบทานปลา น่าจะทำอะไรเกี่ยวกับปลา จำได้ว่าตอนมัธยมเคยเรียนการแปรรูปและถนอมอาหาร การทำกุนเชียงหมู ก็เลยคิดว่าเราน่าจะดัดแปลงจากเนื้อหมูมาเป็นเนื้อปลา 

ก็พยายามคิดพัฒนาสูตร ลองผิดลองถูกนานพอสมควร เสียทั้งเงินเสียทั้งของไปไม่น้อย จนนึกท้อ เพราะต้องกู้เงินเอามาทำ แต่ได้กำลังใจจากแม่และคุณครู จนมีแรงฮึดสู้ต่อ คิดว่าถ้าเรามุ่งมั่น ตั้งใจจริง สักวันต้องสำเร็จ”

จากนั้นก็ได้ศึกษาค้นคว้าตำราการถนอมอาหารมาประกอบ และซื้อกวนเชียงปลาจาก จ.สิงห์บุรี มาทดลองชิม พัฒนารสชาติเฉพาะให้เป็นของตนเอง ซึ่งจะเน้นที่ปลาเป็นหลัก จะไม่มีส่วนผสมของแป้ง 

และเมื่อนำไปให้ญาติพี่น้องและคนรู้จักชิมดู ทุกคนบอกว่าอร่อย ก็เริ่มทำขายทีละน้อย ๆ เป็นการลองตลาด ชุมพลบอกว่า

ทุกวันนี้ขายกวนเชียงปลาอยู่ข้าง ๆ ธนาคารกรุงไทย ก่อนทางเข้าตลาดบางน้ำเปรี้ยว เปิดตัวขายมาได้หลายเดือนแล้ว ก็มีลูกค้าพอสมควร ส่วนผสมหลักของกวนเชียงปลาก็คือ เนื้อปลา ชุมพลบอกว่าสามารถใช้ปลาน้ำจืดได้ทุกชนิด แต่ส่วนใหญ่นิยมใช้ ปลานวลจันทร์ และ ปลายี่สก ผสมกัน เพราะปลาทั้งสองชนิดเมื่อนำมาทำกวนเชียงจะให้เนื้อที่เหนียวนุ่มเนียนสวย ที่สำคัญมีราคาถูกกว่าปลาชนิดอื่น โดยสั่งแล่มาเสร็จจากตลาด

ที่ขาดไม่ได้คือ ไส้ขมหมู ที่ใช้บรรจุเนื้อปลา โดยหาซื้อได้จากตลาดทั่วไป ซึ่งต้องนำมาขูด และล้างเอาเมือกออกให้สะอาด ล้างจนหมดกลิ่นคาวเสียก่อน จากนั้นก็นำมาดองเกลือ ปัจจุบันก็มีการดองขายสำเร็จ 



อุปกรณ์ที่ใช้ก็มี...
เครื่องตีปลา, เครื่องบด, กรวยกรอกสเตนเลส, เครื่องหั่น มันหมู, เครื่องนวดผสม, ถาด, เครื่องอบลมร้อน, มีด, กะละมัง, เชือกฟาง, เขียง, กระทะ, ทัพพี และเครื่องใช้เบ็ดเตล็ดอื่นๆ

ทั้งนี้ อุปกรณ์เครื่องมือที่ใช้ในการผลิตกวนเชียงปลา หรือกุนเชียงปลา ค่อนข้างมีราคาแพงมาก ทั้งเครื่องตีปลา, เครื่องบด และตู้อบนุ่มนักสู้ชีวิตอย่างชุมพลจึงสร้างประกอบขึ้นมาเอง โดยอาศัยความรู้ที่เคยเรียนมาเป็นพื้นฐาน และสอบถามจากผู้ที่มีความรู้ด้านช่าง ก็เป็นการลดต้นทุนอีกทางหนึ่ง 

ส่วนผสมกวนเชียงปลา ตามสูตรก็มี
  • (ใช้ปลานวลจันทร์ ปลายี่สกเทศ หรือปลากรายก็ได้) 20 กก.
  • มันหมูแข็ง 1 กก.
  • ซีอิ๊วขาวอย่างดี 2 ขวด
  • เกลือไอโอดีน 200 กรัม
  • น้ำตาลทราย 4 กก.
  • โซเดียมไบคาร์บอเนต 30 กรัม
  • เครื่องเทศ (เมล็ดผักชี, และพวกไม้หอม โป๊ยกั๊ก อบเชย ที่นำไปคั่วรวมกันจนหอมแล้วบดละเอียด เพื่อดับกลิ่นคาว) 30 กรัม 
  • และรสดี 1 ซอง เพื่อเพิ่มรสชาติให้กลมกล่อมยิ่งขึ้น

    ชุมพลบอกว่า ในส่วนของเครื่องปรุงนั้น สามารถปรับเพิ่มหรือลดได้ อาศัยการชิมรสชาติ ขึ้นอยู่กับความพอใจ สูตรไม่ตายตัว แต่ควรให้มีรสหวานนำเล็กน้อย 

    ขั้นตอนการทำ “กวนเชียงปลา”
  • เริ่มจาก นำเนื้อปลามาเข้าเครื่องบดจนละเอียด 2 ครั้ง 
  • หั่นมันหมูแข็งให้เป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็ก ๆ เอาส่วนผสมทั้งหมดมาใส่ลงในเครื่องนวดผสม คลุกเคล้าส่วนผสมทั้งหมดเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน นานประมาณ 30 นาที จนเนื้อปลาเหนียวเนียน 
  • ระหว่างนวดต้องคอยเติมน้ำเย็นหรือน้ำผสมน้ำแข็งป่น ประมาณ 2 ถ้วยตวง จะช่วยให้เนื้อปลามีความเหนียวและเนียนเข้ากันง่ายขึ้น 
  • พอได้แล้ว ก็นำไปกรอกใส่ไส้ ใช้อุปกรณ์ที่เป็นสเตนเลสรูปกรวย ส่วนปลายเป็นท่อนยาว ๆ สำหรับใส่ไส้มาติดเข้าไปแทนที่หัวบดที่ตัวเครื่องบด 
  • เอาไส้ขมสอดเข้าไปในแท่งกรวยจนหมดไส้ ใช้เชือกมัดปลายไส้ แล้วเปิดเครื่องเอาเนื้อปลาที่ผสมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ใช้ทัพพีตัก ค่อย ๆ ใส่ลงไปในเครื่อง เนื้อปลาจะถูกดันออกมาตรงปลายกรวย และดันไส้ออกไปเรื่อย ๆ จนสุด 
  • ใช้เชือกฟางมัดหัวมัดท้ายให้เป็นท่อน ๆ ยาวท่อนละ 6 นิ้ว จนหมด 
  • จากนั้นนำไปแขวนในเครื่องอบลมร้อน ใช้อุณหภูมิประมาณ 60 องศาเซลเซียส อบนาน 8 ชั่วโมง แล้วนำมาผึ่งแดดให้แห้งสนิทอีก 2 วัน ก็นำมาบรรจุถุงแพ็กขายได้

    ชุมพลบอกว่า กวนเชียงปลาเมื่อผ่านการอบแห้งแล้ว น้ำหนักจะหายไปประมาณ 20-30% ตามสูตรหลังอบแห้งจะเหลือกวนเชียงปลาหนักประมาณ 15-20 กก. รสชาติกวนเชียงปลาจะอร่อยหวานเค็มมันไม่แพ้กุนเชียงต้นตำรับ

    และมีอายุการเก็บรักษาได้นานพอ ๆ กัน คือในอุณหภูมิปกติอยู่ได้นาน 7-10 วัน ถ้าเก็บไว้ในตู้เย็นสามารถเก็บได้นาน 2-3 เดือน

    โดยราคาขายกวนเชียงปลาก็อยู่ที่ กก.ละ 130 บาท


    ใครสนใจผลิตภัณฑ์ กวนเชียงปลา หรือกุนเชียงปลา หรือปลาเชียง ของชุมพล จั่นจำรัส หรือต้องการสั่งไปจำหน่าย ก็ติดต่อกับหนุ่มนักสู้ชีวิตรายนี้ได้ที่ โทร. 0-6121-9738
  • ไอศครีมผลไม้ จุดขายเพื่อสุขภาพ


    ไอศครีมผลไม้ จุดขายเพื่อสุขภาพ
    ”ไอศครีม” ไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัยก็ยังเป็นของโปรดของเด็ก ๆ รวมถึงผู้ใหญ่หลาย ๆ คน ซึ่งต่อให้เป็นช่วงฤดูหนาว แต่ด้วยรสชาติหอมหวาน อร่อยชื่นใจ ไอศครีมก็ยังขายได้ขายดี โดยไอศครีมนั้นก็มีมากมายหลายชนิด รวมถึง “ไอศครีมผลไม้” ที่ไม่มีส่วนผสมของนม ไข่ ไขมันจากสัตว์ ซึ่งเป็นทางเลือกของผู้ที่ชอบทานไอศครีม แต่ห่วงสุขภาพ-ทรวดทรง

    วันนี้ทีมงาน “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลไอศครีมผลไม้มาฝากกัน....เมื่อเร็ว ๆ นี้ทีมงาน “ช่องทางทำกิน” ร่วมเดินทางไปกับคณะของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ไปที่ จ.เชียงใหม่ เพื่อไปดูความสำเร็จของผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการเสริมสร้างผู้ประกอบการใหม่

    น้อย-ดารา วงศ์วรรณ อายุ 42 ปี เจ้าของร้านมิสซิสไอซี่ (MRS.ICY) ที่ผลิตและขาย “ไอศครีมผลไม้ไขมันต่ำ” ซึ่งมีกว่า 43 รสชาติ โดยส่วนใหญ่จะใช้ผลไม้ในท้องถิ่น และสมุนไพรต่าง ๆ ก็เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่ทีมงานได้ไปพบ

    คุณน้อยเล่าว่า เรียนจบปริญญาตรีสาขาบัญชีจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก็เข้าทำงานในบริษัทแห่งหนึ่ง แต่ก็ได้เรียนรู้ที่จะนำผลไม้ต่าง ๆ มาแปรรูปด้วย เพราะทางบ้านนั้นมีสวนผลไม้อยู่

    ในตอนแรกก็ทำเป็นแยม โดยทำเป็นงานอดิเรกไว้รับประทานในหมู่ญาติและเพื่อน ๆ ต่อมาจึงทำขายด้วย ทำเป็นน้ำผลไม้ออกขายเพิ่มเติมจากแยม ซึ่งก็ได้ผลตอบรับเป็นอย่างดี โดยผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่จะไม่มีการใส่สารกันบูด สารปรุงแต่ง

    ทั้งแยมผลไม้และน้ำผลไม้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เพื่อน ๆ ก็เลยเชียร์ให้ทำ “ไอศครีมผลไม้” ด้วย ซึ่งตอนแรกก็ไม่อยากทำเพราะไม่มีความรู้เรื่องไอศครีมเลย แต่ด้วยแรงเชียร์ก็เริ่มที่จะศึกษาด้วยตัวเอง โดยมีแนวความคิดว่าจะต้องทำเป็น “ไอศครีมเพื่อสุขภาพ” ไอศครีมที่ทำจะต้องไม่มีส่วนผสมของนม ไข่ ไขมันจากสัตว์ ไม่ใส่สารปรุงแต่ง สารกันบูด และจะต้องไม่หวานมาก

    ทดลองทำ พัฒนาอยู่ประมาณ 1 ปี ก็ได้สูตรไอศครีมผลไม้ไขมันต่ำ ซึ่งในการทำระยะแรก ๆ นั้นมีอยู่ 20 รสชาติ นำทั้งผลไม้ท้องถิ่นมาทำ ไม่ว่าจะเป็น เสาวรส, มะเกี๋ยง, มะนาว, สตรอเบอรี่, มะม่วง, กระเจี๊ยบ ฯลฯ รวมถึงใช้พืชสมุนไพร ไม่ว่าจะเป็น ขิง, ตะไคร้, สะระแหน่, งาดำ ฯลฯ มาพัฒนาดัดแปลงทำเป็นรสชาติไอศครีม จนเดี๋ยวนี่รสชาติไอศครีมของร้านมิสซิสไอซี่มีกว่า 43 รสชาติ

    คุณน้อยบอกอีกว่า อุปกรณ์ที่จำเป็นต้องมีในการทำไอศครีมขายหลัก ๆ ก็ได้แก่ เครื่องปั่นไอศครีม ที่เหลือก็จะเป็นอุปกรณ์ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นหม้อ เครื่องตวง เตาแก๊ส ทัพพี ฯลฯ

    สำหรับเครื่องปั่นไอศครีมนั้น ถ้าเป็นราคาเครื่องที่สั่งทำพิเศษของร้านมิสซิสไอซี่ ราคาอยู่ที่เครื่องละ 200,000 บาท แต่ถ้าเป็นเครื่องเล็ก ๆ ที่มีขายอยู่แล้ว เครื่องละ 6,000 บาทก็พอใช้ได้แล้ว สำหรับผู้ที่เริ่มลงทุนใหม่ ส่วนวัตถุดิบที่ต้องใช้ก็มีผลไม้ต่าง ๆ พืชสมุนไพร น้ำสะอาด น้ำตาล และไขมันจากพืช (น้ำมันมะกอก)

    ขั้นตอนการทำไอศครีม คุณน้อยแจกแจงว่า เริ่มจากการนำผลไม้หรือพืชสมุนไพรที่ต้องการจะทำไอศครีมรสชาตินั้น ๆ มาทำการแปรรูป ผ่านกรรมวิธีเพื่อที่จะได้ออกมาในรูปของน้ำ

    ใช้น้ำผลไม้หรือน้ำสมุนไพรที่ได้ประมาณ 80% ผสมน้ำสะอาดประมาณ 5% แล้วทำการต้มเพื่อเป็นการฆ่าเชื้อโรค ระหว่างต้มก็ใส่เนื้อของผลไม้นั้น ๆ ประมาณ 14% ใส่ไขมันจากพืชคือน้ำมันมะกอก 1% และน้ำตาลเล็กน้อย ผสมลง ไปต้มแค่พอเดือด จากนั้นก็ยกลงพักไว้ผลไม้ที่นำมาทำไอศครีมควรใช้ผลไม้ที่มีความแก่จัด เวลาทำออกมาจะได้รสชาติ และกลิ่นของผลไม้นั้น ๆ อย่างเต็มที่

    ขั้นตอนต่อไป หลังจากน้ำผลไม้หรือน้ำสมุนไพรที่ผ่านการต้มฆ่าเชื้อโรคเย็นสนิทแล้ว ก็นำไปปั่นในเครื่องปั่นไอศครีม ใช้เวลาปั่นประมาณ 15-20 นาที สังเกตดูพอเนื้อเนียนก็ใช้ได้

    หลังจากปั่นจนได้ที่ก็ทำการเทจัดเก็บไว้ในกล่องที่เตรียมไว้ จากนั้นก็นำไปทำกรรมวิธีต่อไป คือการบ่ม ซึ่งการบ่มก็คือการนำไปแช่เก็บไว้เพื่อเป็นการทำให้เนื้อไอศครีมได้เซทตัว ใช้เวลาบ่มประมาณ 6 ชั่วโมงก็จะใช้ได้

    ไอศครีมผลไม้ไขมันต่ำที่ไม่มีการใส่สารกันบูดนี้ สามารถเก็บรักษาไว้ได้นานประมาณ 1 ปี แต่ต้องอยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสม คือ -18 องศาเซลเซียส

    การขาย “ไอศครีมผลไม้ไขมันต่ำ” ของร้านมิสซิสไอซี่ คุณน้อยบอกว่า มีทั้งขายเป็นแพ็ก ๆ ละ 3 กก. ราคา 240 บาท/กก. หรือแพ็กละ 720 บาท และขายแบบเป็นถ้วย ๆ ละ 20 บาท

    ในส่วนของต้นทุนต่าง ๆ รวมทั้งหมด คุณน้อยบอกว่า จะอยู่ที่ไม่เกิน 85%

    ร้าน “ไอศครีมผลไม้ไขมันต่ำ” มิสซิสไอซี่ ของคุณน้อย อยู่ที่ 119/50 หมู่ 5 ถนนมหิดล ต.หนองหอย อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ใครสนใจจะสั่งไอศครีม ซึ่งก็มีราคาขายส่งให้นำไปขายต่อด้วย ก็ติดต่อได้ที่ โทร. 0-1884-2300

    บาหลี สวรรค์นักช็อปปิ้ง โอเอซิสผู้ส่งออก


    บาหลี สวรรค์นักช็อปปิ้ง โอเอซิสผู้ส่งออก


    ชื่อเรื่องอย่างนี้ ใครเห็นก็ต้องนึกว่าไปย่ำบาหลีมาแน่ๆ เชียว แต่ขอบอกแค่ได้เห็นได้จับต้องสินค้าจากเมืองอิเหนาเท่านั้นเอง (ในงานบิ๊กเมื่อเร็วๆ นี้ที่เมืองทองธานี) ไม่ได้บินไปถึงที่นั่น อย่างไรก็ตาม ได้ยินได้ฟังพรรคพวกที่ขายงานไม้อยู่ที่สวนจตุจักรเล่ามานานนมแล้วว่า เขาไปนำสินค้าจากบาหลีมาขายจนรวยไม่รู้เรื่อง สามารถขยายกิจการได้ภายในเวลาไม่กี่ปี 

    ยอมรับว่าแค่เห็นบรรดาผลิตภัณฑ์หลากหลายเมดอินบาหลีแล้วก็น้ำลายไหลอยากได้ไปตกแต่งบ้าน เพราะแต่ละชิ้นนอกจากจะสวยงามแล้วราคาก็ยังไม่แพง เรียกว่ามีเงินไม่กี่ร้อยก็ได้หลายชิ้น โดยเฉพาะบรรดาหน้ากากไม้สารพัด เขาตกแต่งด้วยสีฉูดฉาด ถึงขั้นต้องมองซ้ำแล้วซ้ำเล่า 

    ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเหตุจูงใจให้ต้องสนทนากับเจ้าของกิจการ คุณคริสโตเฟอร์ คาร์สัน ผู้จัดการบริษัท สไปซ ไอส์แลนด์ จำกัด ชาวอเมริกัน ซึ่งทำธุรกิจที่บาหลีมาเกือบยี่สิบปี และเป็นขาประจำมาออกงานบิ๊กของไทยอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากออกงานแฟร์ที่ฮ่องกง และที่แฟรงก์เฟิร์ต

    นอกจากจะมีบริษัทส่งออกสินค้าบาหลีไปยังทั่วโลกแล้ว เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาเขาก็ตั้งบริษัทชื่อเดียวกันนี้ในประเทศไทยด้วย เพื่อส่งสินค้าเมดอินไทยแลนด์ประเภทกระเป๋าผ้า หรือโคมไฟ นั่นเพราะเขาเห็นช่องทางการเติบโตของสินค้าไทย ซึ่งสามารถกระจายไปได้ไม่ยาก 


    สำหรับผลิตภัณฑ์ของบาหลีที่คุณคริสโตเฟอร์ค้าขายอยู่นั้นมีเป็นร้อยเป็นพันแบบ เขาเปรียบเทียบสินค้าของไทยกับของบาหลีว่า
    "ราคาของอินโดฯจะค่อนข้างถูกกว่า แต่ถ้าพูดถึงคุณภาพของไทยจะสูงกว่า โดยเฉพาะความละเอียดของงาน และสินค้าอะไรต่างๆ ของไทยค่อนข้างจะโตกว่าบาหลีอยู่แล้ว ที่อินโดฯนั้นงานฝีมือทุกอย่างจะมารวมกันที่บาหลี เหมือนที่เมืองไทยจะเป็นที่เชียงใหม่ แต่ในความเห็นของผม มองว่าจตุจักรมีสินค้าหลากหลายและครอบคลุมกว่า เพราะมีลูกค้าให้ไอเดียใหม่ๆ" 

    สาเหตุสำคัญที่ทำให้สินค้าของอินโดฯถูกกว่าของไทยนั้น เพราะค่าแรงของที่นั่นถูกกว่า รวมถึงวัตถุดิบบางอย่างเช่นไม้ชนิดต่างๆ ซึ่งหนุ่มใหญ่ชาวอเมริกันคนนี้วิเคราะห์ว่าตลาดในไทยยังโตได้อีก

    อย่างที่บอกกลูกค้าของคุณคริสโตเฟอร์มีทั่วโลก แต่ตลาดใหญ่ที่สุดก็คืออเมริกาและอังกฤษ

    คุณคริสโตเฟอร์ทำธุรกิจอยู่บาหลีมานาน ถึงขั้นตั้งรกรากอยู่ที่นั่น


    "สินค้าประมาณ 50% อย่างพวกสร้อยคอมือ ลูกปัด หรือกระจก ซึ่งสั่งมาจากอเมริกาแล้วนำมาตกแต่ง ผมจะผลิตขึ้นมาเอง มีโรงงานอยู่ที่บาหลีมีคนงานอยู่ประมาณ 100-700 คน ส่วนสินค้าอื่นๆ รับซื้อมาจากกลุ่มต่างๆ แล้วจะมาดูว่าสินค้าตัวไหนที่จะไปได้ในปีนี้ จากนั้นมาทำแพ็กเกจจิ้งใหม่"


    เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจง่ายขึ้นในการทำธุรกิจส่งออก คุณคริสโตเฟอร์อธิบายด้วยการเขียนภาพปิระมิดให้ดู
    "พวกที่เขาส่งสินค้าเรามาเป็นสินค้าอุตสาหกรรมในครอบครัวหรือเป็นพวกเอสเอ็มอี แบบเมืองไทย ผมเองเป็นผู้ส่งออกก็อยู่บนยอดปิระมิด ที่เรียกว่าเป็น CO-ODINATE ส่วนซัพพลายเออร์แต่ละเจ้าก็จะคอยตรวจเช็คคุณภาพสินค้า ก่อนที่จะขึ้นมาถึงผมอีกทีหนึ่ง" 


    ในฐานะที่อยู่ในวงการธุรกิจส่งออกมาถึง 18 ปี เลยอยากฟังความเห็นถึงนโยบายการส่งเสริมโอท็อปของรัฐบาลไทยคุณคริสโตเฟอร์วิจารณ์ตรงไปตรงมาว่า 
    "ถ้าเทียบกับอินโดนีเซีย ของไทยสนับสนุนมากกว่า ซึ่งโอท็อปเป็นความคิดที่ดี แต่จะดีกว่านี้อีกถ้ารัฐบาลสนับสนุนให้ความรู้จริงๆ ว่าเรื่องการส่งออกคืออะไร การส่งออกที่สำคัญคือรายละเอียดด้านการจัดการเช่น เราสามารถระบุได้ว่าของสิ่งนี้เราจะบรรจุหีบห่อให้ลูกค้าอย่างไร ถุงหนึ่งกล่องหนึ่งมีกี่ชิ้น มีจำนวนกี่คิวบิกเมตรต่อตู้ อะไรอย่างนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการรายละเอียดค่อนข้างเยอะ แต่ว่าผู้ขายคนไทยมักจะไม่รู้อะไรตรงนี้เลย รวมถึงการทำรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้าแต่ละตัว โดยมีบาร์โค้ด เพื่อสะดวกเวลาลูกค้าสั่ง"


    เป็นธรรมดาของการทำธุรกิจ ย่อมมีปัญหาอุปสรรค เขาเองก็เช่นกัน
    "ปัญหามันมีหลายหลากอย่างปัญหาที่ผมเจอเช่น เรื่องการควบคุมคุณภาพ เขาเช็คไม่ดี สินค้าไปถึงแล้วลูกค้าไม่พอใจ ตรงนี้เราก็ต้องคืนเงินให้หรืออย่างบางทีเวลาเราขนของเข้าตู้คอนเทนเนอร์ตอนเปิดตู้ฝนตกก็ไม่เป็นไร แต่พอไปถึงลูกค้าก็ขึ้นรา เกิดความเสียหายขึ้น"


    ก่อนจบบทสนทนาในวันนั้น เขาบอกว่า ตอนนี้คนไทยก็รับสินค้าจากบาหลีมาเยอะ อย่างที่ภูเก็ต แต่ถ้าใครอยากจะซื้อผ่านเขาติดต่อได้ที่ (662) 238-4523 แฟ็กซ์ (662) 2672436 หรือ E-mail : sails@spice-islands.co.th

    ธุรกิจนวดแผนไทย

    อาการปวดเมื่อยร่างกาย โดยทั่วไปการรักษาอาการเหล่านี้นอกจากการพบแพทย์แผนปัจจุบันแล้ว หลายคนก็ยังนิยมไปใช้บริการนวดเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด หรือผ่อนคลายร่างกายให้หายจากความเมื่อยล้าและความเครียด ซึ่งปัจจุบันมีผู้ที่มีความต้องการใช้บริการนวดมากขึ้น ความนิยมการนวดไม่จำกัดอยู่เฉพาะแค่ชาวไทย หากแต่ขยายตัวออกไปในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติด้วย ดังนั้น “ธุรกิจนวดแผนไทย” จึงเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการ 

    การประกอบธุรกิจนี้จึงเป็นทางเลือกหนึ่งของผู้ที่ต้องการประกอบธุรกิจของตนเอง แต่ก่อนที่จะเริ่มต้นลงมือทำ ผู้ประกอบการควรศึกษาและทำความเข้าใจในธุรกิจนี้ให้ลึกซึ้งเสียก่อน 


    ผู้ที่สนใจทำธุรกิจนวดแผนไทย ควรมีศักยภาพและคุณสมบัติพื้นฐานดังนี้
    1. มีใจรักในการให้บริการ เพราะธุรกิจนี้เป็นธุรกิจการให้บริการ ผู้ประกอบการที่ดีควรมีใจรักในงานด้านนี้ มีความซื่อสัตย์ จริงใจ พูดจาไพเราะ และมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี


    2. มีศีลธรรมและสัมมาอาชีวะ การนวดเป็นการบริการแบบตัวต่อตัว โอกาสใกล้ชิดสัมผัสร่างกายลูกค้ามีอยู่ตลอดเวลา ผู้ประกอบการอาชีพนี้จึงควรระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยเน้นความบริสุทธิ์ใจและศีลธรรมเป็นหลัก


    3. มีพื้นฐานความรู้ด้านการนวดแผนไทย เพื่อให้เข้าใจธุรกิจนี้ ผู้ประกอบการควรผ่านการอบรมมาบ้างจากสถานที่อบรมที่มีมาตรฐานและได้รับการยอมรับ


    4. มีทำเลที่เหมาะสม ทำเลที่ดีของธุรกิจนี้ควรอยู่ในที่มองเห็นได้ง่าย ชัดเจน และการเดินทางสะดวก

    ก่อนเปิดกิจการ “นวดแผนไทย” นั้น ผู้ประกอบการจำเป็นต้องติดต่อหน่วยงานต่าง ๆ ดังนี้

    > กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เพื่อจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจ 

    โดยทั่วไปธุรกิจบริการจะได้รับการยกเว้นไม่ต้องจดทะเบียนพาณิชย์ แต่ถ้าขายสินค้าอื่นร่วมด้วยต้องจดทะเบียน โดยสามารถศึกษารายละเอียดขออนุญาตได้ที่ www.ismed.or.th หรือที่ www.thairegistration.com

    > กรมสรรพากร เพื่อดำเนินการทางภาษีการจดทะเบียน และภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยศึกษาจาก www.rd.go.th

    > กระทรวงสาธารณสุข เพื่อจดทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะ 

    ทั้งนี้ หากเป็นการนวดเพื่อบำบัด วินิจฉัยโรค หรือฟื้นฟูสมรรถภาพ ตาม พ.ร.บ.การประกอบโรคศิลปะ พ.ศ.2542 ผู้ทำการนวดต้องขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาต “สาขาการแพทย์แผนไทยหรือเวชกรรมโบราณ” จากคณะกรรมการวิชาชีพก่อน และต้องดำเนินการในสถานพยาบาลที่ได้รับใบอนุญาตแล้วเท่านั้น 

    แต่หากเป็นการนวดเพื่อบรรเทาอาการปวดเมื่อย ไม่ใช่เพื่อการรักษาโรค ผู้ที่ทำการนวดไม่จำเป็นต้องขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตผู้ประกอบการโรคศิลปะ

    ผู้ประกอบการสามารถยื่นคำขอได้ที่กองการประกอบโรคศิลปะ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข หรือในต่างจังหวัดยื่นที่สำนักงานสาธารณสุขอำเภอ หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด 

    แม้ธุรกิจการนวดจะเป็นอาชีพให้บริการ แต่ก็เป็นอาชีพที่ต้องใช้ความรับผิดชอบสูงเช่นกัน โดยมีบทลงโทษทางกฎหมายหากผู้นวดกระทำการนวดแบบการรักษาโรค แต่ไม่มีใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะ ซึ่งจะมีความผิดจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และแม้จะไม่ได้นวดแต่ขึ้นป้ายโฆษณาว่าเป็นการนวดรักษาโรคโดยไม่มีใบอนุญาตก็มีความผิด คือมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


    ตามกฎหมายผู้นวดต้องรับผิดชอบ หากเกิดอันตรายแก่ผู้ถูกนวด ดังนี้
    1. หากทำให้ผู้อื่นเกิดอันตรายแก่ร่างกาย จิตใจ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 จำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


    2. หากผู้ถูกนวดเป็นอันตรายสาหัส ดังนี้คือ ตาบอด หูหนวก ลิ้นขาด เสียความสามารถที่ม่านประสาท อวัยวะสืบพันธุ์ ใบหน้า แท้งลูก จิตพิการติดตัว ทุพพลภาพหรือเจ็บป่วยเรื้อรังตลอดชีวิต หรือไม่สามารถประกอบกิจตามปกติเกินกว่า 20 วัน ต้องโทษจำคุก 6 เดือนถึง 10 ปี


    3. หากกระทำโดยประมาท เช่น นวดแล้วเกิดอันตรายสาหัส ต้องโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


    4. หากนวดผู้ป่วยแล้วทำให้เสียชีวิตถือว่ากระทำการโดยประมาท ต้องโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท