วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

แฟรนไชน์ “ลูกชิ้นยิ้ม”


แฟรนไชน์ “ลูกชิ้นยิ้ม”ลงทุนต่ำ อร่อย สะอาด ปลอดภัยคืนทุนในวันแรกที่ขาย

วันนี้ทาง โอ้โห MakeMoneY.คอม มีเฟรนไชน์ดี ๆ มาแนะนำซึ่งเฟรนไชน์นี้เป็นธุรกิจเฟรนไชน์“ลูกชิ้นยิ้ม”ที่ได้รับความนิยมสูงด้วยจุดเด่นที่ว่าลงทุนต่ำ อร่อย สะอาด ปลอดภัย คืนทุนในวันแรกที่ขาย สำหรับท่านใดที่มีเงินทุนน้อยท่านไม่ต้องกลัวว่าธุรกิจลูกชิ้นยิ้มจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าธุรกิจอื่น แต่ความเป็นจริงนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ตายเพียงแค่อยากบอกว่า การลงทุนทำอะไรก็แล้วแต่มีความเสี่ยงกันทั้งนั้น อยู่ที่ว่าจะมากหรือน้อยก็เท่านั้นเอง ลูกชิ้นยิ้มนับว่าเป็นทางเลือกที่ดี โดยท่านสามารถเป็นเจ้าของธุรกิจเฟรนไชน์ลูกชิ้นยิ้ม ด้วยเงินลงทุนเพียง 2,200 บาท อะไรจะถูกขนาดนี้ เปิดรับสมัครผู้สนใจธุรกิจเฟรนไชส์แล้ววันนี้

แฟรนไชน์ลูกชิ้นต้องนึกถึงลูกชิ้นยิ้ม

เมื่อพูดถึงลูกชิ้น คงไม่มีใครที่จะบอกได้ว่าไม่เคยกิน เพราะลูกชิ้นอยู่คู่กับคนไทยมานาน ไม่ว่าจะนำมาใส่ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน ยำลูกชิ้น หรือประกอบอาหารต่างๆ ตลอดจนเสียบไม้ ปิ้ง ย่าง เรียกได้ว่า ลูกชิ้นไม่มีวันตายเลยทีเดียว  ลูกชิ้นมีมากมายหลายประเภทไม่ว่าจะเป็น ลูกชิ้นหมู ลูกชิ้นเนื้อ ลูกชิ้นไก่ ลูกชิ้นปลา ลูกชิ้นกุ้ง ต่อมามีการพัฒนาสูตรโดยการใส่ส่วนผสมอื่นๆลงไปในลูกชิ้น เช่น ลูกชิ้นสาหร่าย แต่ที่นิยมมากที่สุดก็คงจะไม่พ้นลูกชิ้นหมู ซึ่งมีมาแต่ดั้งเดิม เคยสังเกตไหมครับ ไม่ว่าจะไปไหน ก็มีแต่พ่อค้า แม่ค้าขายลูกชิ้น… คนขายมากมายขนาดนี้แล้ววันๆจะได้สักกี่ไม้??? คำตอบก็อยู่ในคำถามนั่นแหละครับ คนขายมากมาย แต่ยังอยู่ได้ นั่นหมายความว่าการขายลูกชิ้นสามารถสร้างรายได้ ให้พ่อค้า แม่ค้ามากมาย บางคนก็ขายหลังเลิกจากงานประจำ เป็นรายได้เสริม บางคนขายเป็นอาชีพหลัก จนสามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ ซึ่งยอดขายจะมากหรือน้อย ลูกค้าจะชอบแค่ไหน ก็ต้องอยู่ที่ความอร่อยของลูกชิ้น และน้ำจิ้มครับ
เค้าเตอร์ลูกชิ้นยิ้ม

แฟรนไชน์ “ลูกชิ้นยิ้ม”

เฟรนไชน์ “ลูกชิ้นยิ้ม” มีความต้องการขยายตลาด โดยเปิดขายเฟรนไชน์ให้ผู้ที่สนใจขายลูกชิ้นปิ้ง ได้เป็นส่วนหนึ่งในการขยายธุรกิจ เลือกลงทุนในราคาที่คุ้มค่า ใช้เงินทุนน้อย รูปลักษณ์ที่ทันสมัย ใช้พื้นที่น้อย สามารถถอดประกอบได้ และเราคัดลูกชิ้นหมูชั้นดี ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จึงมั่นใจได้ว่า อร่อย สะอาด ปลอดภัย แน่นอน พร้อมด้วยน้ำจิ้มสูตรเฉพาะของลูกชิ้นยิ้ม โดยท่านสามารถเป็นเจ้าของธุรกิจเฟรนไชน์ “ลูกชิ้นยิ้ม” ด้วยเงินลงทุนเพียง 2,200 บาท ไม่ต้องเสียค่าแรกเข้า ไม่ต้องเสียรายเดือน รายปี หรือเปอร์เซนต์ยอดขายใดๆรายละเอียดต่างๆ ตามตารางที่แนบมานี้เลยครับ
เปอร์เซนต์ยอดขาย

ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับผู้ที่สนใจ

สำหรับท่านใดที่สนใจเกี่ยวกับแฟรนไชส์ (ลูกชิ้นยิ้ม) ท่านสามารถศึกษารายละเอียดได้เพิ่มเติมจากเจ้าของแฟรนไชส์ ได้โดยตรง ตามช่องทางที่อยู่ด้านล่างนี้เลย รายละเอียดต่าง ๆ สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอด ดังนั้นเองถ้าสนใจแล้วควรติดต่อกับเจ้าของแฟรนไชส์ โดยตรงเป็นดีที่สุด
ติอต่อได้ที่  คุณ คมสันต์ สุดสาคร
ที่อยู่เลขที่ 1156 หมู่ 4 ต สำโรงเหนือ อ เมือง สมุทรปราการ
โทร 084-3602390
E-mail :: lookchinyim@hotmail.com

โอกาสทางธุรกิจมาแล้ว เดอะวอฟเฟิล แฟรนไชส์มา (The Waffle)


โอกาสทางธุรกิจมาแล้ว เดอะวอฟเฟิล แฟรนไชส์มา (The Waffle)

เดอะวอฟเฟิล แฟรนไชส์มาแรงมียอดขายที่เพิ่มขึ้นตลอดเวลามากกว่า 1 ล้านชิ้นต่อเดือน  ขนมเดอะวอฟเฟิลกินอร่อยกินง่ายเป็นที่นิยมกันมาก สามารถหารับประทานได้ตามศูนย์การค้าต่าง ๆ จะพบเห็นติดอยู่หน้าประตูทางเข้าออกที่ทีมีคนเดินเป็นจำนวนมาก ธุรกิจโดยภาพรวมของแฟรนไชส์นี้ ที่ลงทุนกับบริษัทฯ มีอัตราความสำเร็จสุงมากถึง 80 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว นับว่าเป็นทางเลือกที่ดีอีกหนึ่งทาง สำหรับสำหรับท่านใดที่ต้องการมีกิจการเป็นของตัวเองแล้วก็ แฟรนไชส์เดอะวอฟเฟิลนี้คงทำให้ท่านไม่ผิดหวังเป็นแน้ ก่อนที่จะเริ่มทำธุรกิจใด ๆ ก็ควรศึกษาข้อมูลให้ดีให้ครบถ้วน ทำให้เราเป็นต่อได้ในธุรกิจนั้น

THE  WAFFLE  FRANCHISE

เดอะวอฟเฟิล
THE  WAFFLE   ดำเนินธุรกิจร้านขนมวอฟเฟิล ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากความตั้งใจที่จะทำขนมอร่อยให้ลูกหลานได้ชิม แล้วขยายวงไปยังญาติพี่น้อง  คนในหมู่บ้านซึ่งได้รับคำชมจากทุกคนที่ชิมว่า  ขนมอร่อย  กลิ่นหอมน่ารับประทาน  ทำให้เราอยากทำขนมให้คนทั่วประเทศได้ชิม  ในราคาที่เหมาะสม และช่วยให้ผู้ที่มีเงินลงทุนน้อยสามารถทำธุรกิจส่วนตัวได้ง่ายขึ้น THE  WAFFLE    จึงออกมาในรูปแบบของธุรกิจ FRANCHISE เพื่อให้ประชาชนทั่วไปสามารถหาซื้อขนมวอฟเฟิลได้ง่าย ในมาตรฐานรสชาติและราคาเดียวกัน

โอกาสทางธุรกิจ

รายแรก ผู้นำตลาดแฟรนไชส์ Waffle รายแรกของไทยที่มีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศกว่า 170 สาขา ในปี 2554
อันดับ 1 เป็นผู้นำตลาดแฟรนไชส์วอฟเฟิลอันดับ 1 ที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุด 70 %
Franchise ดีเด่น ได้รับเลือกให้เป็น Franchise ดีเด่นในปี 2009 จากนายกรัฐมนตรี ธุรกิจแฟรนไชส์เติบโตยอดเยี่ยมปี่ 2010 จากงาน TFBO แฟรนไชส์มาตรฐาน 2010 จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และล่าสุดกับรางวัล มาตรฐานคุณภาพแฟรนไชส์ดีเด่นด้านยุทธศาสตร์องค์กร จากงาน thailand Franchise Quality Award 2010
ผลิตภัณฑ์คุณภาพ จากส่วนผสม ทั้งโยเกิร์ต และเนยสดแท้ๆ ด้วยสูตรลับเฉพาะที่เป็น เอกลักษณ์แสนอร่อย The Waffle ได้รับการรับรองมาตรฐาน GMP (Good Manufacturing Practice) ก่อนที่จะพัฒนาไปสู่ระบบประกันคุณภาพอื่นๆ ต่อไป เช่น HACCP (Hazards Analysis and Critical Control Points) และ HALAL อีกด้วย
เติบโตอย่างต่อเนื่อง 7 ปี กับการเติบโตอย่างต่อเนื่องในอัตราเพิ่มขึ้น 20 % ทุกปี
การตอบรับ The Waffle ได้รับการตอบรับในทางที่ดี ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศให้การยอมรับในรสชาติ และคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่พร้อมขยายสาขาไปยังต่างประเทศ อาทิ สิงคโปร์ มาเลเซีย จีน ดูไบ ฟิลิปปินส์ เป็นต้น
thewaffleเดอะวอฟเฟิล
ถูกต้องแล้วโอกาสทางธุรกิจมีไม่มากและมาไมาบ่อย เมื่อมาทักคุณแล้ว ขอเชื้อเชิญทุกคนทำความรู้จักกับโอกาสนี้สักหน่อย ก่อนที่จะผ่านเลยไป เดอะวอฟเฟิล เป็นธุรกิจที่มั่นคงไม่เป็นไปในแบบแฟชั่น ที่เข้ามาเพียงชั่วครู่และผ่านเลยไป จากจุดเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2547 จนถึงปัจจุบัน กับ 170 สาขา ถึงแม้เป็นสาขาเล็ก ๆ แต่ก็ทำเงินให้สมาชิกเป็นที่พอใจ คืนทุนได้ไม่ยากโดยเฉลี่ย 2-3 เดือน มีกำไรพอสมควรแก้ธุรกิจ และมั่นคง
ฟังเสียงกันชัด ๆ จากเจ้าของแฟรนไชส์ เดอะ วอฟเฟิล ขอขอบคุณ ThaiFranchise Tv.com

ข้อมูลเพิ่มเติม เดอะวอฟเฟิล แฟรนไชส์ (The Waffle)

ท่านใดที่สนใจเกี่ยวกับ แฟรนไชส์ (The Waffle) นี้ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดได้เพิ่มเติมจากเจ้าของแฟรนไชส์ ได้โดยตรง ตามช่องทางที่อยู่ด้านล่างนี้เลย รายละเอียดต่าง ๆ ทางบริษัท เดอะวอฟเฟิล ซัพพลายส์ จำกัด สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอด ดังนั้นเองถ้าสนใจแล้วควรติดต่อกับบริษัท โดยตรงเป็นดีที่สุด
ติดต่อ : บริษัท เดอะวอฟเฟิล ซัพพลายส์ จำกัด
ที่อยู่ : 419/41-44  ซ.ศรีด่าน 29 ถ.ศรีนครินทร์ ต.สำโรงเหนือ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ 10270
โทรศัพท์ : 02-7486410-11 , 082-6508866
อีเมลล์ : thewafflesupply@hotmail.com
เฟสบุ๊ค : https://www.facebook.com/pages/The-Waffle/100957436647272
ท่านสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : http://www.thewafflesupply.com/

เปิดร้านแฟรนไชส์แฟมิลี่มาร์ท


เปิดร้านแฟรนไชส์แฟมิลี่มาร์ทร้านนี้เข้ามีระบบ ประกันรายได้ให้คุณ

วันนี้ thaicareer มีข่าวดีมาบอก สำหรับท่านใดที่สนใจทำธุรกิจแฟรนไชส์แฟมิลี่มาร์ท รับรองได้ว่าท่านจะไม่ผิดหวัง เพราะมีการประกันรายได้ให้แก่ผู้ที่สนใจทำธุรกิจ และเงินลงทุนต่ำขอแค่ท่านมีใจรักในงานบริการเพียงเท่านี้ท่านก็สามารถเป็นเจ้าของธุรกิจแฟรนไชส์ได้ค่ะ
โอกาศดีสำหรับผู้ที่ต้องการเปิดร้านแฟรนไชส์แฟมิลี่มาร์ท ในกรุงเทพ – ปริมณฑล – ชลบุรี – พัทยา มาดูรายละเอียดกันก่อนเลย

มีการประกันรายได้

ถ้าคุณมีกำไรขั้นต้นก่อนหักค่าใช้จ่าย ต่ำกว่าที่บริษัทฯรับรอง บริษัทฯจะชดเชยส่วนต่างให้ จึงเป็นหลักประกันรายได้ให้คุณได้

ลงทุนต่ำ

ผู้ที่สนใจลงทุนแฟรนไชส์แบบที่1
  1. ต้องมีอาคารสถานที่เป็นของตนเอง
  2. มีเงินลงทุนเบื้องต้นประมาณ 1 ล้านบาท(ยังไม่รวมค่าตกแต่ง ปรับปรุงตัวอาคาร)
ผู้ที่สนใจลงทุนแฟรนไชส์แบบที่2
  1. ต้องการมีกิจการเป็นของตนเอง รักงานขาย
  2. มีเงินลงทุนเบื้องต้นประมาณ 1 ล้านบาท

สนับสนุนการบริหารร้านสาขา

เปิดร้าน familymart
เปิดร้าน familymart

  1. ให้ความช่วยเหลือด้านการจัดการ และข้อมูลความรู้สำหรับการดำเนินการ
  2. ให้คำปรึกษาตลอดจนการบริหารในด้านต่างๆ ที่จำเป็นต่อการบริหารร้าน
  3. การส่งเสริมการขายและโฆษณาประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง
  4. ให้ความช่วยเหลือด้านระบบและบัญชีและการเงิน
  5. จัดหลักสูตรอบรมที่เป็นมาตรฐาน ทั้งด้านการบริหารและการพัฒนาด้านระบบต่างๆ
  6. ให้ยืมเครื่องมือเครื่องใช้และอุปกรณ์ภายในร้าน
  7. ให้คำปรึกษาในการติดต่อหน่วยราชการ
  8. มีระบบตรวจนับสินค้าที่มีมาตรฐาน<
  9. จัดหาสินค้าและคัดเลือกผู้ผลิตที่มีคุณภาพ

ติดต่อสอบถามเปิดร้านแฟรนไชส์แฟมิลี่มาร์ท

บริษัท สยามแฝมิลี่มาร์ท จำกัด ชั้น 11 อาคารวานิช 2 1126/2 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400 www.familymart.co.th
โทร :: 0-2254-1845-9 , 0-2254-1632-51 ต่อฝ่ายพัฒนาธุรกิจ

กวนเชียงปลา’ ทำเงินจากคนเบื่อหมู


กวนเชียงปลา’ ทำเงินจากคนเบื่อหมู
ช่องทางทำกิน” วันนี้ทางทีมงานมีข้อมูล “กวนเชียงปลา” ภูมิปัญญาชาวบ้านที่นำสิ่งที่มีอยู่ในท้องถิ่นมาดัดแปลงปรับปรุงให้เกิดประโยชน์มากที่สุด และนำมาเป็นอาชีพเลี้ยงครอบครัวได้...

ชุมพล จั่นจำรัส เจ้าของผลิตภัณท์ “กวนเชียงปลา” ฝีมือหนุ่มนักสู้ชีวิตแห่งบางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา เล่าให้ฟังถึงที่มาของอาชีพทำกวนเชียงปลาขายว่า เป็นคนบางน้ำเปรี้ยวโดยกำเนิด อดีตเคยเป็นเซลส์ขายไอศกรีมมาก่อน พอแต่งงานมีครอบครัวก็ออกมาค้าขายอยู่ประมาณ 2 ปี มีปัญหากัน และได้แยกกับภรรยา จากนั้นก็ได้ไปบวชที่วัดเภตา จ.ระยอง

หลังลาสิกขากลับมาอยู่บ้านกับแม่ที่แปดริ้ว นั่งคิดว่าจะทำอาชีพอะไรเลี้ยงตัวเองและแม่ที่แก่แล้ว ก็มาลงตัวที่อะไรที่เกี่ยวกับ “ปลา” “ที่นี่มีคนเลี้ยงปลากันมาก ผมชอบทานปลา น่าจะทำอะไรเกี่ยวกับปลา จำได้ว่าตอนมัธยมเคยเรียนการแปรรูปและถนอมอาหาร การทำกุนเชียงหมู ก็เลยคิดว่าเราน่าจะดัดแปลงจากเนื้อหมูมาเป็นเนื้อปลา 

ก็พยายามคิดพัฒนาสูตร ลองผิดลองถูกนานพอสมควร เสียทั้งเงินเสียทั้งของไปไม่น้อย จนนึกท้อ เพราะต้องกู้เงินเอามาทำ แต่ได้กำลังใจจากแม่และคุณครู จนมีแรงฮึดสู้ต่อ คิดว่าถ้าเรามุ่งมั่น ตั้งใจจริง สักวันต้องสำเร็จ”

จากนั้นก็ได้ศึกษาค้นคว้าตำราการถนอมอาหารมาประกอบ และซื้อกวนเชียงปลาจาก จ.สิงห์บุรี มาทดลองชิม พัฒนารสชาติเฉพาะให้เป็นของตนเอง ซึ่งจะเน้นที่ปลาเป็นหลัก จะไม่มีส่วนผสมของแป้ง 

และเมื่อนำไปให้ญาติพี่น้องและคนรู้จักชิมดู ทุกคนบอกว่าอร่อย ก็เริ่มทำขายทีละน้อย ๆ เป็นการลองตลาด ชุมพลบอกว่า

ทุกวันนี้ขายกวนเชียงปลาอยู่ข้าง ๆ ธนาคารกรุงไทย ก่อนทางเข้าตลาดบางน้ำเปรี้ยว เปิดตัวขายมาได้หลายเดือนแล้ว ก็มีลูกค้าพอสมควร ส่วนผสมหลักของกวนเชียงปลาก็คือ เนื้อปลา ชุมพลบอกว่าสามารถใช้ปลาน้ำจืดได้ทุกชนิด แต่ส่วนใหญ่นิยมใช้ ปลานวลจันทร์ และ ปลายี่สก ผสมกัน เพราะปลาทั้งสองชนิดเมื่อนำมาทำกวนเชียงจะให้เนื้อที่เหนียวนุ่มเนียนสวย ที่สำคัญมีราคาถูกกว่าปลาชนิดอื่น โดยสั่งแล่มาเสร็จจากตลาด

ที่ขาดไม่ได้คือ ไส้ขมหมู ที่ใช้บรรจุเนื้อปลา โดยหาซื้อได้จากตลาดทั่วไป ซึ่งต้องนำมาขูด และล้างเอาเมือกออกให้สะอาด ล้างจนหมดกลิ่นคาวเสียก่อน จากนั้นก็นำมาดองเกลือ ปัจจุบันก็มีการดองขายสำเร็จ 



อุปกรณ์ที่ใช้ก็มี...
เครื่องตีปลา, เครื่องบด, กรวยกรอกสเตนเลส, เครื่องหั่น มันหมู, เครื่องนวดผสม, ถาด, เครื่องอบลมร้อน, มีด, กะละมัง, เชือกฟาง, เขียง, กระทะ, ทัพพี และเครื่องใช้เบ็ดเตล็ดอื่นๆ

ทั้งนี้ อุปกรณ์เครื่องมือที่ใช้ในการผลิตกวนเชียงปลา หรือกุนเชียงปลา ค่อนข้างมีราคาแพงมาก ทั้งเครื่องตีปลา, เครื่องบด และตู้อบนุ่มนักสู้ชีวิตอย่างชุมพลจึงสร้างประกอบขึ้นมาเอง โดยอาศัยความรู้ที่เคยเรียนมาเป็นพื้นฐาน และสอบถามจากผู้ที่มีความรู้ด้านช่าง ก็เป็นการลดต้นทุนอีกทางหนึ่ง 

ส่วนผสมกวนเชียงปลา ตามสูตรก็มี
  • (ใช้ปลานวลจันทร์ ปลายี่สกเทศ หรือปลากรายก็ได้) 20 กก.
  • มันหมูแข็ง 1 กก.
  • ซีอิ๊วขาวอย่างดี 2 ขวด
  • เกลือไอโอดีน 200 กรัม
  • น้ำตาลทราย 4 กก.
  • โซเดียมไบคาร์บอเนต 30 กรัม
  • เครื่องเทศ (เมล็ดผักชี, และพวกไม้หอม โป๊ยกั๊ก อบเชย ที่นำไปคั่วรวมกันจนหอมแล้วบดละเอียด เพื่อดับกลิ่นคาว) 30 กรัม 
  • และรสดี 1 ซอง เพื่อเพิ่มรสชาติให้กลมกล่อมยิ่งขึ้น

    ชุมพลบอกว่า ในส่วนของเครื่องปรุงนั้น สามารถปรับเพิ่มหรือลดได้ อาศัยการชิมรสชาติ ขึ้นอยู่กับความพอใจ สูตรไม่ตายตัว แต่ควรให้มีรสหวานนำเล็กน้อย 

    ขั้นตอนการทำ “กวนเชียงปลา”
  • เริ่มจาก นำเนื้อปลามาเข้าเครื่องบดจนละเอียด 2 ครั้ง 
  • หั่นมันหมูแข็งให้เป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็ก ๆ เอาส่วนผสมทั้งหมดมาใส่ลงในเครื่องนวดผสม คลุกเคล้าส่วนผสมทั้งหมดเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน นานประมาณ 30 นาที จนเนื้อปลาเหนียวเนียน 
  • ระหว่างนวดต้องคอยเติมน้ำเย็นหรือน้ำผสมน้ำแข็งป่น ประมาณ 2 ถ้วยตวง จะช่วยให้เนื้อปลามีความเหนียวและเนียนเข้ากันง่ายขึ้น 
  • พอได้แล้ว ก็นำไปกรอกใส่ไส้ ใช้อุปกรณ์ที่เป็นสเตนเลสรูปกรวย ส่วนปลายเป็นท่อนยาว ๆ สำหรับใส่ไส้มาติดเข้าไปแทนที่หัวบดที่ตัวเครื่องบด 
  • เอาไส้ขมสอดเข้าไปในแท่งกรวยจนหมดไส้ ใช้เชือกมัดปลายไส้ แล้วเปิดเครื่องเอาเนื้อปลาที่ผสมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ใช้ทัพพีตัก ค่อย ๆ ใส่ลงไปในเครื่อง เนื้อปลาจะถูกดันออกมาตรงปลายกรวย และดันไส้ออกไปเรื่อย ๆ จนสุด 
  • ใช้เชือกฟางมัดหัวมัดท้ายให้เป็นท่อน ๆ ยาวท่อนละ 6 นิ้ว จนหมด 
  • จากนั้นนำไปแขวนในเครื่องอบลมร้อน ใช้อุณหภูมิประมาณ 60 องศาเซลเซียส อบนาน 8 ชั่วโมง แล้วนำมาผึ่งแดดให้แห้งสนิทอีก 2 วัน ก็นำมาบรรจุถุงแพ็กขายได้

    ชุมพลบอกว่า กวนเชียงปลาเมื่อผ่านการอบแห้งแล้ว น้ำหนักจะหายไปประมาณ 20-30% ตามสูตรหลังอบแห้งจะเหลือกวนเชียงปลาหนักประมาณ 15-20 กก. รสชาติกวนเชียงปลาจะอร่อยหวานเค็มมันไม่แพ้กุนเชียงต้นตำรับ

    และมีอายุการเก็บรักษาได้นานพอ ๆ กัน คือในอุณหภูมิปกติอยู่ได้นาน 7-10 วัน ถ้าเก็บไว้ในตู้เย็นสามารถเก็บได้นาน 2-3 เดือน

    โดยราคาขายกวนเชียงปลาก็อยู่ที่ กก.ละ 130 บาท


    ใครสนใจผลิตภัณฑ์ กวนเชียงปลา หรือกุนเชียงปลา หรือปลาเชียง ของชุมพล จั่นจำรัส หรือต้องการสั่งไปจำหน่าย ก็ติดต่อกับหนุ่มนักสู้ชีวิตรายนี้ได้ที่ โทร. 0-6121-9738
  • ไอศครีมผลไม้ จุดขายเพื่อสุขภาพ


    ไอศครีมผลไม้ จุดขายเพื่อสุขภาพ
    ”ไอศครีม” ไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัยก็ยังเป็นของโปรดของเด็ก ๆ รวมถึงผู้ใหญ่หลาย ๆ คน ซึ่งต่อให้เป็นช่วงฤดูหนาว แต่ด้วยรสชาติหอมหวาน อร่อยชื่นใจ ไอศครีมก็ยังขายได้ขายดี โดยไอศครีมนั้นก็มีมากมายหลายชนิด รวมถึง “ไอศครีมผลไม้” ที่ไม่มีส่วนผสมของนม ไข่ ไขมันจากสัตว์ ซึ่งเป็นทางเลือกของผู้ที่ชอบทานไอศครีม แต่ห่วงสุขภาพ-ทรวดทรง

    วันนี้ทีมงาน “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลไอศครีมผลไม้มาฝากกัน....เมื่อเร็ว ๆ นี้ทีมงาน “ช่องทางทำกิน” ร่วมเดินทางไปกับคณะของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ไปที่ จ.เชียงใหม่ เพื่อไปดูความสำเร็จของผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการเสริมสร้างผู้ประกอบการใหม่

    น้อย-ดารา วงศ์วรรณ อายุ 42 ปี เจ้าของร้านมิสซิสไอซี่ (MRS.ICY) ที่ผลิตและขาย “ไอศครีมผลไม้ไขมันต่ำ” ซึ่งมีกว่า 43 รสชาติ โดยส่วนใหญ่จะใช้ผลไม้ในท้องถิ่น และสมุนไพรต่าง ๆ ก็เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่ทีมงานได้ไปพบ

    คุณน้อยเล่าว่า เรียนจบปริญญาตรีสาขาบัญชีจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก็เข้าทำงานในบริษัทแห่งหนึ่ง แต่ก็ได้เรียนรู้ที่จะนำผลไม้ต่าง ๆ มาแปรรูปด้วย เพราะทางบ้านนั้นมีสวนผลไม้อยู่

    ในตอนแรกก็ทำเป็นแยม โดยทำเป็นงานอดิเรกไว้รับประทานในหมู่ญาติและเพื่อน ๆ ต่อมาจึงทำขายด้วย ทำเป็นน้ำผลไม้ออกขายเพิ่มเติมจากแยม ซึ่งก็ได้ผลตอบรับเป็นอย่างดี โดยผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่จะไม่มีการใส่สารกันบูด สารปรุงแต่ง

    ทั้งแยมผลไม้และน้ำผลไม้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เพื่อน ๆ ก็เลยเชียร์ให้ทำ “ไอศครีมผลไม้” ด้วย ซึ่งตอนแรกก็ไม่อยากทำเพราะไม่มีความรู้เรื่องไอศครีมเลย แต่ด้วยแรงเชียร์ก็เริ่มที่จะศึกษาด้วยตัวเอง โดยมีแนวความคิดว่าจะต้องทำเป็น “ไอศครีมเพื่อสุขภาพ” ไอศครีมที่ทำจะต้องไม่มีส่วนผสมของนม ไข่ ไขมันจากสัตว์ ไม่ใส่สารปรุงแต่ง สารกันบูด และจะต้องไม่หวานมาก

    ทดลองทำ พัฒนาอยู่ประมาณ 1 ปี ก็ได้สูตรไอศครีมผลไม้ไขมันต่ำ ซึ่งในการทำระยะแรก ๆ นั้นมีอยู่ 20 รสชาติ นำทั้งผลไม้ท้องถิ่นมาทำ ไม่ว่าจะเป็น เสาวรส, มะเกี๋ยง, มะนาว, สตรอเบอรี่, มะม่วง, กระเจี๊ยบ ฯลฯ รวมถึงใช้พืชสมุนไพร ไม่ว่าจะเป็น ขิง, ตะไคร้, สะระแหน่, งาดำ ฯลฯ มาพัฒนาดัดแปลงทำเป็นรสชาติไอศครีม จนเดี๋ยวนี่รสชาติไอศครีมของร้านมิสซิสไอซี่มีกว่า 43 รสชาติ

    คุณน้อยบอกอีกว่า อุปกรณ์ที่จำเป็นต้องมีในการทำไอศครีมขายหลัก ๆ ก็ได้แก่ เครื่องปั่นไอศครีม ที่เหลือก็จะเป็นอุปกรณ์ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นหม้อ เครื่องตวง เตาแก๊ส ทัพพี ฯลฯ

    สำหรับเครื่องปั่นไอศครีมนั้น ถ้าเป็นราคาเครื่องที่สั่งทำพิเศษของร้านมิสซิสไอซี่ ราคาอยู่ที่เครื่องละ 200,000 บาท แต่ถ้าเป็นเครื่องเล็ก ๆ ที่มีขายอยู่แล้ว เครื่องละ 6,000 บาทก็พอใช้ได้แล้ว สำหรับผู้ที่เริ่มลงทุนใหม่ ส่วนวัตถุดิบที่ต้องใช้ก็มีผลไม้ต่าง ๆ พืชสมุนไพร น้ำสะอาด น้ำตาล และไขมันจากพืช (น้ำมันมะกอก)

    ขั้นตอนการทำไอศครีม คุณน้อยแจกแจงว่า เริ่มจากการนำผลไม้หรือพืชสมุนไพรที่ต้องการจะทำไอศครีมรสชาตินั้น ๆ มาทำการแปรรูป ผ่านกรรมวิธีเพื่อที่จะได้ออกมาในรูปของน้ำ

    ใช้น้ำผลไม้หรือน้ำสมุนไพรที่ได้ประมาณ 80% ผสมน้ำสะอาดประมาณ 5% แล้วทำการต้มเพื่อเป็นการฆ่าเชื้อโรค ระหว่างต้มก็ใส่เนื้อของผลไม้นั้น ๆ ประมาณ 14% ใส่ไขมันจากพืชคือน้ำมันมะกอก 1% และน้ำตาลเล็กน้อย ผสมลง ไปต้มแค่พอเดือด จากนั้นก็ยกลงพักไว้ผลไม้ที่นำมาทำไอศครีมควรใช้ผลไม้ที่มีความแก่จัด เวลาทำออกมาจะได้รสชาติ และกลิ่นของผลไม้นั้น ๆ อย่างเต็มที่

    ขั้นตอนต่อไป หลังจากน้ำผลไม้หรือน้ำสมุนไพรที่ผ่านการต้มฆ่าเชื้อโรคเย็นสนิทแล้ว ก็นำไปปั่นในเครื่องปั่นไอศครีม ใช้เวลาปั่นประมาณ 15-20 นาที สังเกตดูพอเนื้อเนียนก็ใช้ได้

    หลังจากปั่นจนได้ที่ก็ทำการเทจัดเก็บไว้ในกล่องที่เตรียมไว้ จากนั้นก็นำไปทำกรรมวิธีต่อไป คือการบ่ม ซึ่งการบ่มก็คือการนำไปแช่เก็บไว้เพื่อเป็นการทำให้เนื้อไอศครีมได้เซทตัว ใช้เวลาบ่มประมาณ 6 ชั่วโมงก็จะใช้ได้

    ไอศครีมผลไม้ไขมันต่ำที่ไม่มีการใส่สารกันบูดนี้ สามารถเก็บรักษาไว้ได้นานประมาณ 1 ปี แต่ต้องอยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสม คือ -18 องศาเซลเซียส

    การขาย “ไอศครีมผลไม้ไขมันต่ำ” ของร้านมิสซิสไอซี่ คุณน้อยบอกว่า มีทั้งขายเป็นแพ็ก ๆ ละ 3 กก. ราคา 240 บาท/กก. หรือแพ็กละ 720 บาท และขายแบบเป็นถ้วย ๆ ละ 20 บาท

    ในส่วนของต้นทุนต่าง ๆ รวมทั้งหมด คุณน้อยบอกว่า จะอยู่ที่ไม่เกิน 85%

    ร้าน “ไอศครีมผลไม้ไขมันต่ำ” มิสซิสไอซี่ ของคุณน้อย อยู่ที่ 119/50 หมู่ 5 ถนนมหิดล ต.หนองหอย อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ใครสนใจจะสั่งไอศครีม ซึ่งก็มีราคาขายส่งให้นำไปขายต่อด้วย ก็ติดต่อได้ที่ โทร. 0-1884-2300

    บาหลี สวรรค์นักช็อปปิ้ง โอเอซิสผู้ส่งออก


    บาหลี สวรรค์นักช็อปปิ้ง โอเอซิสผู้ส่งออก


    ชื่อเรื่องอย่างนี้ ใครเห็นก็ต้องนึกว่าไปย่ำบาหลีมาแน่ๆ เชียว แต่ขอบอกแค่ได้เห็นได้จับต้องสินค้าจากเมืองอิเหนาเท่านั้นเอง (ในงานบิ๊กเมื่อเร็วๆ นี้ที่เมืองทองธานี) ไม่ได้บินไปถึงที่นั่น อย่างไรก็ตาม ได้ยินได้ฟังพรรคพวกที่ขายงานไม้อยู่ที่สวนจตุจักรเล่ามานานนมแล้วว่า เขาไปนำสินค้าจากบาหลีมาขายจนรวยไม่รู้เรื่อง สามารถขยายกิจการได้ภายในเวลาไม่กี่ปี 

    ยอมรับว่าแค่เห็นบรรดาผลิตภัณฑ์หลากหลายเมดอินบาหลีแล้วก็น้ำลายไหลอยากได้ไปตกแต่งบ้าน เพราะแต่ละชิ้นนอกจากจะสวยงามแล้วราคาก็ยังไม่แพง เรียกว่ามีเงินไม่กี่ร้อยก็ได้หลายชิ้น โดยเฉพาะบรรดาหน้ากากไม้สารพัด เขาตกแต่งด้วยสีฉูดฉาด ถึงขั้นต้องมองซ้ำแล้วซ้ำเล่า 

    ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเหตุจูงใจให้ต้องสนทนากับเจ้าของกิจการ คุณคริสโตเฟอร์ คาร์สัน ผู้จัดการบริษัท สไปซ ไอส์แลนด์ จำกัด ชาวอเมริกัน ซึ่งทำธุรกิจที่บาหลีมาเกือบยี่สิบปี และเป็นขาประจำมาออกงานบิ๊กของไทยอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากออกงานแฟร์ที่ฮ่องกง และที่แฟรงก์เฟิร์ต

    นอกจากจะมีบริษัทส่งออกสินค้าบาหลีไปยังทั่วโลกแล้ว เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาเขาก็ตั้งบริษัทชื่อเดียวกันนี้ในประเทศไทยด้วย เพื่อส่งสินค้าเมดอินไทยแลนด์ประเภทกระเป๋าผ้า หรือโคมไฟ นั่นเพราะเขาเห็นช่องทางการเติบโตของสินค้าไทย ซึ่งสามารถกระจายไปได้ไม่ยาก 


    สำหรับผลิตภัณฑ์ของบาหลีที่คุณคริสโตเฟอร์ค้าขายอยู่นั้นมีเป็นร้อยเป็นพันแบบ เขาเปรียบเทียบสินค้าของไทยกับของบาหลีว่า
    "ราคาของอินโดฯจะค่อนข้างถูกกว่า แต่ถ้าพูดถึงคุณภาพของไทยจะสูงกว่า โดยเฉพาะความละเอียดของงาน และสินค้าอะไรต่างๆ ของไทยค่อนข้างจะโตกว่าบาหลีอยู่แล้ว ที่อินโดฯนั้นงานฝีมือทุกอย่างจะมารวมกันที่บาหลี เหมือนที่เมืองไทยจะเป็นที่เชียงใหม่ แต่ในความเห็นของผม มองว่าจตุจักรมีสินค้าหลากหลายและครอบคลุมกว่า เพราะมีลูกค้าให้ไอเดียใหม่ๆ" 

    สาเหตุสำคัญที่ทำให้สินค้าของอินโดฯถูกกว่าของไทยนั้น เพราะค่าแรงของที่นั่นถูกกว่า รวมถึงวัตถุดิบบางอย่างเช่นไม้ชนิดต่างๆ ซึ่งหนุ่มใหญ่ชาวอเมริกันคนนี้วิเคราะห์ว่าตลาดในไทยยังโตได้อีก

    อย่างที่บอกกลูกค้าของคุณคริสโตเฟอร์มีทั่วโลก แต่ตลาดใหญ่ที่สุดก็คืออเมริกาและอังกฤษ

    คุณคริสโตเฟอร์ทำธุรกิจอยู่บาหลีมานาน ถึงขั้นตั้งรกรากอยู่ที่นั่น


    "สินค้าประมาณ 50% อย่างพวกสร้อยคอมือ ลูกปัด หรือกระจก ซึ่งสั่งมาจากอเมริกาแล้วนำมาตกแต่ง ผมจะผลิตขึ้นมาเอง มีโรงงานอยู่ที่บาหลีมีคนงานอยู่ประมาณ 100-700 คน ส่วนสินค้าอื่นๆ รับซื้อมาจากกลุ่มต่างๆ แล้วจะมาดูว่าสินค้าตัวไหนที่จะไปได้ในปีนี้ จากนั้นมาทำแพ็กเกจจิ้งใหม่"


    เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจง่ายขึ้นในการทำธุรกิจส่งออก คุณคริสโตเฟอร์อธิบายด้วยการเขียนภาพปิระมิดให้ดู
    "พวกที่เขาส่งสินค้าเรามาเป็นสินค้าอุตสาหกรรมในครอบครัวหรือเป็นพวกเอสเอ็มอี แบบเมืองไทย ผมเองเป็นผู้ส่งออกก็อยู่บนยอดปิระมิด ที่เรียกว่าเป็น CO-ODINATE ส่วนซัพพลายเออร์แต่ละเจ้าก็จะคอยตรวจเช็คคุณภาพสินค้า ก่อนที่จะขึ้นมาถึงผมอีกทีหนึ่ง" 


    ในฐานะที่อยู่ในวงการธุรกิจส่งออกมาถึง 18 ปี เลยอยากฟังความเห็นถึงนโยบายการส่งเสริมโอท็อปของรัฐบาลไทยคุณคริสโตเฟอร์วิจารณ์ตรงไปตรงมาว่า 
    "ถ้าเทียบกับอินโดนีเซีย ของไทยสนับสนุนมากกว่า ซึ่งโอท็อปเป็นความคิดที่ดี แต่จะดีกว่านี้อีกถ้ารัฐบาลสนับสนุนให้ความรู้จริงๆ ว่าเรื่องการส่งออกคืออะไร การส่งออกที่สำคัญคือรายละเอียดด้านการจัดการเช่น เราสามารถระบุได้ว่าของสิ่งนี้เราจะบรรจุหีบห่อให้ลูกค้าอย่างไร ถุงหนึ่งกล่องหนึ่งมีกี่ชิ้น มีจำนวนกี่คิวบิกเมตรต่อตู้ อะไรอย่างนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการรายละเอียดค่อนข้างเยอะ แต่ว่าผู้ขายคนไทยมักจะไม่รู้อะไรตรงนี้เลย รวมถึงการทำรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้าแต่ละตัว โดยมีบาร์โค้ด เพื่อสะดวกเวลาลูกค้าสั่ง"


    เป็นธรรมดาของการทำธุรกิจ ย่อมมีปัญหาอุปสรรค เขาเองก็เช่นกัน
    "ปัญหามันมีหลายหลากอย่างปัญหาที่ผมเจอเช่น เรื่องการควบคุมคุณภาพ เขาเช็คไม่ดี สินค้าไปถึงแล้วลูกค้าไม่พอใจ ตรงนี้เราก็ต้องคืนเงินให้หรืออย่างบางทีเวลาเราขนของเข้าตู้คอนเทนเนอร์ตอนเปิดตู้ฝนตกก็ไม่เป็นไร แต่พอไปถึงลูกค้าก็ขึ้นรา เกิดความเสียหายขึ้น"


    ก่อนจบบทสนทนาในวันนั้น เขาบอกว่า ตอนนี้คนไทยก็รับสินค้าจากบาหลีมาเยอะ อย่างที่ภูเก็ต แต่ถ้าใครอยากจะซื้อผ่านเขาติดต่อได้ที่ (662) 238-4523 แฟ็กซ์ (662) 2672436 หรือ E-mail : sails@spice-islands.co.th

    ธุรกิจนวดแผนไทย

    อาการปวดเมื่อยร่างกาย โดยทั่วไปการรักษาอาการเหล่านี้นอกจากการพบแพทย์แผนปัจจุบันแล้ว หลายคนก็ยังนิยมไปใช้บริการนวดเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด หรือผ่อนคลายร่างกายให้หายจากความเมื่อยล้าและความเครียด ซึ่งปัจจุบันมีผู้ที่มีความต้องการใช้บริการนวดมากขึ้น ความนิยมการนวดไม่จำกัดอยู่เฉพาะแค่ชาวไทย หากแต่ขยายตัวออกไปในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติด้วย ดังนั้น “ธุรกิจนวดแผนไทย” จึงเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการ 

    การประกอบธุรกิจนี้จึงเป็นทางเลือกหนึ่งของผู้ที่ต้องการประกอบธุรกิจของตนเอง แต่ก่อนที่จะเริ่มต้นลงมือทำ ผู้ประกอบการควรศึกษาและทำความเข้าใจในธุรกิจนี้ให้ลึกซึ้งเสียก่อน 


    ผู้ที่สนใจทำธุรกิจนวดแผนไทย ควรมีศักยภาพและคุณสมบัติพื้นฐานดังนี้
    1. มีใจรักในการให้บริการ เพราะธุรกิจนี้เป็นธุรกิจการให้บริการ ผู้ประกอบการที่ดีควรมีใจรักในงานด้านนี้ มีความซื่อสัตย์ จริงใจ พูดจาไพเราะ และมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี


    2. มีศีลธรรมและสัมมาอาชีวะ การนวดเป็นการบริการแบบตัวต่อตัว โอกาสใกล้ชิดสัมผัสร่างกายลูกค้ามีอยู่ตลอดเวลา ผู้ประกอบการอาชีพนี้จึงควรระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยเน้นความบริสุทธิ์ใจและศีลธรรมเป็นหลัก


    3. มีพื้นฐานความรู้ด้านการนวดแผนไทย เพื่อให้เข้าใจธุรกิจนี้ ผู้ประกอบการควรผ่านการอบรมมาบ้างจากสถานที่อบรมที่มีมาตรฐานและได้รับการยอมรับ


    4. มีทำเลที่เหมาะสม ทำเลที่ดีของธุรกิจนี้ควรอยู่ในที่มองเห็นได้ง่าย ชัดเจน และการเดินทางสะดวก

    ก่อนเปิดกิจการ “นวดแผนไทย” นั้น ผู้ประกอบการจำเป็นต้องติดต่อหน่วยงานต่าง ๆ ดังนี้

    > กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เพื่อจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจ 

    โดยทั่วไปธุรกิจบริการจะได้รับการยกเว้นไม่ต้องจดทะเบียนพาณิชย์ แต่ถ้าขายสินค้าอื่นร่วมด้วยต้องจดทะเบียน โดยสามารถศึกษารายละเอียดขออนุญาตได้ที่ www.ismed.or.th หรือที่ www.thairegistration.com

    > กรมสรรพากร เพื่อดำเนินการทางภาษีการจดทะเบียน และภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยศึกษาจาก www.rd.go.th

    > กระทรวงสาธารณสุข เพื่อจดทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะ 

    ทั้งนี้ หากเป็นการนวดเพื่อบำบัด วินิจฉัยโรค หรือฟื้นฟูสมรรถภาพ ตาม พ.ร.บ.การประกอบโรคศิลปะ พ.ศ.2542 ผู้ทำการนวดต้องขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาต “สาขาการแพทย์แผนไทยหรือเวชกรรมโบราณ” จากคณะกรรมการวิชาชีพก่อน และต้องดำเนินการในสถานพยาบาลที่ได้รับใบอนุญาตแล้วเท่านั้น 

    แต่หากเป็นการนวดเพื่อบรรเทาอาการปวดเมื่อย ไม่ใช่เพื่อการรักษาโรค ผู้ที่ทำการนวดไม่จำเป็นต้องขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตผู้ประกอบการโรคศิลปะ

    ผู้ประกอบการสามารถยื่นคำขอได้ที่กองการประกอบโรคศิลปะ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข หรือในต่างจังหวัดยื่นที่สำนักงานสาธารณสุขอำเภอ หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด 

    แม้ธุรกิจการนวดจะเป็นอาชีพให้บริการ แต่ก็เป็นอาชีพที่ต้องใช้ความรับผิดชอบสูงเช่นกัน โดยมีบทลงโทษทางกฎหมายหากผู้นวดกระทำการนวดแบบการรักษาโรค แต่ไม่มีใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะ ซึ่งจะมีความผิดจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และแม้จะไม่ได้นวดแต่ขึ้นป้ายโฆษณาว่าเป็นการนวดรักษาโรคโดยไม่มีใบอนุญาตก็มีความผิด คือมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


    ตามกฎหมายผู้นวดต้องรับผิดชอบ หากเกิดอันตรายแก่ผู้ถูกนวด ดังนี้
    1. หากทำให้ผู้อื่นเกิดอันตรายแก่ร่างกาย จิตใจ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 จำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


    2. หากผู้ถูกนวดเป็นอันตรายสาหัส ดังนี้คือ ตาบอด หูหนวก ลิ้นขาด เสียความสามารถที่ม่านประสาท อวัยวะสืบพันธุ์ ใบหน้า แท้งลูก จิตพิการติดตัว ทุพพลภาพหรือเจ็บป่วยเรื้อรังตลอดชีวิต หรือไม่สามารถประกอบกิจตามปกติเกินกว่า 20 วัน ต้องโทษจำคุก 6 เดือนถึง 10 ปี


    3. หากกระทำโดยประมาท เช่น นวดแล้วเกิดอันตรายสาหัส ต้องโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


    4. หากนวดผู้ป่วยแล้วทำให้เสียชีวิตถือว่ากระทำการโดยประมาท ต้องโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท

    ‘พาย-ทาร์ส’ ชิ้นจิ๋ว ๆ กำไรแจ๋ว


    ‘พาย-ทาร์ส’ ชิ้นจิ๋ว ๆ กำไรแจ๋ว

    ขนมอบอย่าง “พาย” และ “ทาร์ส” แม้ว่าจะเป็นขนมชิ้นเล็ก ๆ ที่ชื่อไม่คุ้นหูคนไทย แต่ก็คุ้นลิ้น มีผู้ให้ความสนใจซื้อหารับประทานกันมาก ใครที่มีฝีมือในการทำให้รสชาติอร่อยก็จะเป็นอีกอาชีพทำเงินได้ดี ทั้งในลักษณะอาชีพหลักหรืออาชีพเสริม วันนี้ทีมงาน “ช่องทางทำกิน” ก็มีเรื่องราวขนมอบประเภทนี้มานำเสนอกัน...

    ขนิษฐา สวัสดิ์เวช หรือ คุณน้อง เคยทำงานเป็นพนักงานบริษัทเอกชนมา 8 ปี และช่วงปี 2540 ก็ได้ลาออกจากงานบริษัท เพื่อที่จะมาทำขนมขาย อาทิ ขนมปังกระเทียม ขนมเปี๊ยะ พาย ข้าวตัง เนื่องจากมีใจรัก และพอมีฝีมือ-มีพรสวรรค์ทางนี้อยู่ และก่อนจะทำขายจริงจังยังได้ไปเรียนกับคนรู้จัก ไปเรียนเพิ่มเติมก่อนด้วย 

    “ช่วงปี 2542-2543 ยอดสั่งขนมดีมาก ทำกันแทบไม่ทัน มีคนมารอรับขนมถึงหน้าบ้านเลย ไม่จำเป็นต้องไปหาที่ขายเลย ทำเท่าไรก็ไม่พอ อาจเป็นเพราะเศรษฐกิจช่วงนั้นค่อนข้างดีก็เป็นไปได้”

    คุณน้องบอกต่อไปว่า พอปี 2544 เป็นต้นมายอดขายก็ลดลงไปมาก จนต้องให้คนงานที่จ้างมาช่วยออกจากงานถึง 10 คน เพราะมีคนหันมาทำขนมขายกันมากขึ้น และที่สำคัญช่วงนั้นทำอะไรก็มักจะโดนลอกเลียนแบบ จึงหยุดทำไปสักระยะหนึ่ง ประคองตัวให้รอดพ้นวิกฤติไปให้ได้ก่อน

    ต่อมาก็มาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง เป็นการเริ่มต้นด้วยตนเอง โดยทำที่บ้าน เน้น “พายสับปะรด” และ “ทาร์สสับปะรด” เป็นหลัก ทำเป็นชิ้นเล็ก ๆ เน้นจับลูกค้ากลุ่มร้านกาแฟ โดยหาลูกค้าด้วยตนเอง ไม่นั่งรอให้คนมาสั่งที่บ้านเหมือนเดิม

    ลองมาดูสูตรการทำพายที่เรียกว่า “พายเรือ” และ “พายดาว” ที่คุณน้องให้สูตรกัน..... 

    เริ่มต้นที่ “เนื้อแป้ง” ใช้แป้งสาลี 250 กรัม, น้ำตาลไอซ์ซิ่ง 50 กรัม, ผงฟู 1/2 ช้อนชา, เกลือ 1/2 ช้อนชา, เนยมาการีน 150 กรัม, น้ำเปล่า 1/2 ถ้วย และกลิ่นวานิลลา 1/2 ช้อนชา

    วิธีทำ เริ่มที่ ร่อนแป้งสาลี, น้ำตาลไอซ์ซิ่ง 50 กรัม, ผงฟู 1/2 ช้อนชา และเกลือ ให้เข้าด้วยกัน จากนั้นใส่เนยมาการีน และน้ำเปล่าให้เข้ากันด้วย และใส่กลิ่นวานิลลาลงไป แล้วใช้มือนวดให้แป้งเข้าด้วยกัน จากนั้นนำแป้งที่ผสมดีแล้ววางลงบนโต๊ะ แล้วใช้ที่นวดแป้งรีดให้เป็นแผ่นใหญ่ ๆ บาง ๆ

    “ตัดแป้งเป็นแผ่นขนาดสี่เหลี่ยมจัตุรัส ใช้ไม้บรรทัดฟุตเหล็กเป็นตัวหลัก ตัดเป็นแนวนอน และแนวตั้ง ถ้าเป็นพายเรือ ตัดเพียงแค่แผ่นสี่เหลี่ยมจัตุรัส แต่ถ้าเป็นพายดาว ให้ตัดด้านมุมของแผ่นแป้งเป็นรูปกากบาท เพื่อสะดวกเวลาที่จะพับออกมาเป็นรูปดาว”

    วางไส้สับปะรดลงบนแป้งพายแล้วพับเป็นรูปดาว หรือรูปเรือก็ได้ ทาไข่แดงบนหน้าพายนิดหน่อย จากนั้นนำเข้าตู้อบ ใช้ความร้อนอบ 150 องศาฯ อบประมาณ 5 นาที เท่านี้ก็เรียบร้อย

    “ไส้สับปะรดนั้น ให้ซื้อสำเร็จรูปจากโรงงาน ราคา กก. ละไม่เกิน 25 บาท”


    ส่วน “ทาร์สสับปะรด” ใช้แป้งสาลี 400 กรัม, เกลือ 1/2 ช้อนชา, เนยสด 200 กรัม, ไข่แดง 2 ฟอง และกลิ่นวานิลลา 1/2 ช้อนชา

    วิธีทำ ตีเกลือ เนยสด ไข่แดง และกลิ่นวานิลลาด้วยเครื่องให้เข้ากันก่อน จากนั้นเทแป้งสาลีลงไปผสม โดยใช้มือค่อย ๆ ผสมให้เข้ากัน

    ค่อย ๆ จับแป้งขึ้นมาเป็นก้อน ๆ ปั้นเป็นก้อนกลม จากนั้นแบออกมาเป็นแผ่น ใส่ไส้สัปปะรด ลงไป แล้วใส่ลงไปบนพิมพ์ ซึ่งเป็นรูปต่าง ๆ อาทิ แอปเปิ้ล ฟักทอง

    จากนั้น นำเข้าเตาอบ ใช้ความร้อน 150 องศาฯ อบประมาณ 5 นาที เท่านี้ก็เป็น อันเรียบร้อยแล้ว จัดใส่กล่องพลาสติกใสกลม ประมาณ 120 กรัม

    สำหรับพาย 120 กรัม ต้นทุนประมาณ 13 บาท ขายส่ง 25 บาท ส่วนทาร์ส 120 กรัม ต้นทุนประมาณ 15 บาท ขายส่ง 25 บาท

    ใครสนใจขนมอบ อย่าง “ทาร์ส” และ “พาย” ของคุณน้อง-ขนิษฐา สวัสดิ์เวช อยากจะสั่งไปจำหน่าย ก็ติดต่อได้ที่ โทร. 0-5047-4676 หรือใครจะลองนำสูตรไปฝึกทำขายดูบ้าง ก็ได้เลย!

    ‘โมเสกกระดาษ’ งานไอเดียทำเงินรับปีใหม่


    ‘โมเสกกระดาษ’ งานไอเดียทำเงินรับปีใหม่

    เข้าสู่ปลายปีก็ใกล้เทศกาลมอบของขวัญปีใหม่ “งานประดิษฐ์” ก็เป็นอีกหนึ่งสินค้าที่จะขายดีช่วงปลายปี ซึ่งวันนี้ทีมงาน “ช่องทางทำกิน” ก็มีงานประดิษฐ์เก๋ ๆ อีกรูปแบบมานำเสนอ กับงาน “โมเสกจากกระดาษ” 


    ปุก-ประภาศรี ธนีภาพ อายุ 43 ปี เป็นเจ้าของร้าน “ล้านกาปุก” ซึ่งเป็นร้านที่ขายของเกี่ยวกับงานประดิษฐ์ และยังเป็นผู้ที่คิดค้นการทำงาน “โมเสกจากกระดาษ” ซึ่งทำมานานกว่า 2 ปี โดยเจ้าตัวเล่าว่า หลังจากเรียนจบปริญญาตรี คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ก็เข้าทำงานรับราชการ เป็นผู้ควบคุมความประพฤติ

    งานนี้คงเป็นงานที่เหนื่อยและหนักเกินไปสำหรับปุก ทำได้เพียง 3 เดือน ปุกก็เริ่มมองหางานใหม่ จนได้งานที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ทำเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ จึงตัดสินใจลาออกจากอาชีพรับราชการ โดยระหว่างที่ทำงานบริษัทอยู่นั้น ด้วยความที่เป็นคนที่ชอบเรียนรู้ ประกอบกับชอบงานด้านการประดิษฐ์ในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ก็ไปลงเรียนอบรมด้านการประดิษฐ์ และหลังจากทำงานบริษัทอยู่ 2 ปี ก็ต้องออกจากงาน เพราะพิษเศรษฐกิจตกต่ำ

    หลังออกจากงานก็มานั่งว่างอยู่บ้านได้ระยะหนึ่ง ก็มีโอกาสได้เข้าไปเป็นวิทยากรของเกษตรศาสตร์ สอนศูนย์ กศน.สายอาชีพที่เขตราชเทวี จากนั้นก็ได้เป็นวิทยากรสอนทำดอกไม้ประดิษฐ์จากดินให้กับทหารผ่านศึกที่โรงพยาบาลพระมงกุฎ และด้วยความที่เป็นคนไม่ชอบอะไรซ้ำซากจำเจ เป็นคนที่มีจินตนาการสูง ปุกจึงพัฒนางานที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ขึ้นมาเรื่อย ๆ จนมาเป็น “งานโมเสกจากกระดาษ” ซึ่งเกิดจากการที่เธอได้เห็นฝาผนังในห้องน้ำที่เป็นงานโมเสกที่ทำจากกระเบื้อง มีลวดลายต่าง ๆ สวยงาม

    “ก็เห็นว่ามันน่าจะนำมาดัดแปลงประยุกต์ใช้กับวัสดุที่ไม่แพงและออกมาสวยได้ จึงลองคิดดู ก็เลยได้ออกมาลงตัวที่การใช้กระดาษเป็นวัสดุ แรก ๆ งานส่วนใหญ่จะเป็นลายเส้นธรรมดา จากนั้นก็ค่อย ๆ เรียนผิดเรียนถูกพัฒนางานมาเรื่อย ๆ จนมาเป็นงานโมเสกอย่างที่เห็นในปัจจุบัน”


    คนที่คิดจะทำงานประดิษฐ์ ปุก บอกว่า นอกจากจะต้องเป็นคนที่ชอบในงานประดิษฐ์แล้วจำเป็นต้องมีไอเดีย มีจิตนาการ มีความคิดสร้างสรรค์ไม่หยุดนิ่ง ต้องคิดงานใหม่ ๆ ออกมาตลอดเวลา ถึงจะได้ลูกค้าที่หลากหลายกลุ่ม และก็จะอยู่รอด

    สำหรับการทำโมเสกจากกระดาษ อุปกรณ์นั้นมีดังนี้คือ กระดาษแข็ง (ใช้แบบที่หนาที่สุด), กระดาษชานอ้อย, สีอะคริลิก, กาวลาเท็กซ์, ครีมสร้างลายนูน, ยูรีเทรนสูตรน้ำสำหรับเคลือบเงา, พู่กันระบายสี, ไดร์เป่าผม

    อุปกรณ์ทั้งหมดนี้สามารถหาซื้อได้จากร้านขายอุปกรณ์เครื่องเขียนทั่วไป

    การทำ

    > ขั้นแรกเริ่มจากการคิดว่าจะทำอะไร อาทิ กล่องใส่ทิซชู ก็นำกระดาษแข็งชนิดที่หนาที่สุดมาทำการตัดและขึ้นรูปโดยใช้กาวลาเท็กซ์เป็นตัวยึดให้เป็นชิ้นงานที่ต้องการ

    > จากนั้นตัดกระดาษชานอ้อยให้เป็นชิ้น ๆ จะเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม วงกลม หรือสามเหลี่ยม ขนาดจะเล็กหรือใหญ่ ตัดตามต้องการโดยใช้จินตนาการ แล้วก็นำกระดาษชานอ้อยที่ตัดเสร็จแล้วนำไปติดบนชิ้นงานที่ขึ้นรูปไว้ด้วยกาวลาเท็กซ์

    > การติดกระดาษแต่ละชิ้นต้องให้มีความห่างกันพอสมควร ไม่ควรติดกันจนแน่นเกินไป เมื่อติดเสร็จเรียบร้อยก็ทิ้งไว้ให้แห้ง จากนั้นใช้เนื้อครีมสร้างลายนูนทำการยาลงไปตามแนวร่องของกระดาษ

    “วิธีการยาแนวก็ไม่ยาก ใช้นิ้วป้ายครีมสร้างลายนูนแล้วก็ทาลงไปตามแนวร่องให้ทั่ว โดยไม่ลงหนาจนเกินไป การยาแนวนั้นจะต้องยาให้ดีไม่ให้เกิดฟองอากาศ ถ้าเกิดฟองอากาศก็ยาทับให้แน่นเพื่อความสวยงาม”

    > เมื่อลงเนื้อครีมสร้างลายนูนเสร็จก็ทำการลงสีตามความต้องการได้ทันที ไม่ต้องรอให้ครีมแห้ง ในกรณีที่ลงครีมไม่หนามาก แต่ถ้าลงเนื้อครีมหนาเกินควรทิ้งไว้ให้แห้งก่อนลงสีประมาณ 30 นาที หลังจากสีแห้งก็ทำการเคลือบเงาด้วยยูรีเทรนสูตรน้ำ เท่านี้ก็เสร็จ

    > รูปหรือลวดลายต่าง ๆ สามารถใช้สีวาดลงไปก็ได้ หรือใช้รูปภาพติดแทนก็ได้

    “การทำโมเสกจากกระดาษนั้นสามารถทำได้กับหลายวัสดุ ไม่ว่าจะเป็นไม้ยาง, ไม้อัด, กระจก หรือแม้แต่ทำบนเทียนไข วิธีการทำก็เหมือนทำบนกระดาษ เพียงแต่เราเปลี่ยนวัสดุ” ปุกบอก


    งานโมเสกจากกระดาษเป็นงานที่ทำต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าอื่น ๆ ได้ด้วย อย่างเช่น กรอบรูปที่เรียบ ๆ ธรรมดา ถ้าลงเทคนิคการทำโมเสกจากกระดาษเข้าไป กรอบรูปนั้นก็จะมีราคาที่เพิ่มขึ้นมาทันที

    ผลงานของปุกกับงานโมเสกจากกระดาษนั้น มีมากมายหลากหลาย มีตั้งแต่ของขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นที่ติดตู้เย็น กรอบรูป กล่องใส่ของ นาฬิกา ที่แขวนผนัง และอื่น ๆ โดยมีราคาตั้งแต่ 40-750 บาท ราคาก็จะขึ้นอยู่กับขนาดและความยากง่ายของลวดลายในแต่ละชิ้น

    ใครสนใจงาน “โมเสกจากกระดาษ” ของร้านล้านกาปุก ร้านนี้อยู่ที่ห้างแฟชั่นไอส์แลนด์ ชั้น 3 โซนที่ขายงานประดิษฐ์ รับสั่งทำตามออร์เดอร์ หรือสนใจจะติดต่อปุกให้ไปสอนการทำงานประดิษฐ์ งานฝีมือ ก็โทรศัพท์สอบถามได้ที่ โทร.08-1398-3714.

    คุ๊กกี้แฟนซี เงินดีเทศกาลปีใหม่


    คุ๊กกี้แฟนซี เงินดีเทศกาลปีใหม่
    งานฝีมือบางชนิดสามารถนำมาผนวกใช้ได้หลายด้าน แม้แต่ในเรื่องของอาหารและขนม ที่หากรู้จักที่จะนำฝีมือมาใส่ไอเดีย มาสร้างสรรค์ ก็สามารถที่จะสร้างอาหารการกินรูปแบบเก๋ ๆ สร้างกำไรได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ

    อย่างเช่น “คุกกี้แฟนซี” ของ “สิริพร ศรีเพ็ง” รายนี้...


    สิริพรเล่าว่า ไม่ได้เรียนจบมาทางด้านการทำอาหารหรือเบเกอรี่ ทว่าเรียนจบมาทางด้านนาฏยศิลป์จากคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ด้วยความที่เป็นคนชอบงานประดิษฐ์ งานเย็บปักถักร้อย ควบคู่ไปกับการทำขนม จึงพยายามศึกษาและลองหัดทำด้วยตัวเอง จนเริ่มมีความชำนาญ กับ “คุกกี้แฟนซี” นี้ก็ยึดเป็นอาชีพเสริมมาได้ 2 ปีแล้ว โดยยามว่างจากงานประจำที่เกี่ยวกับธุรกิจค้าขายวัสดุก่อสร้างก็จะทำขาย โดยเฉพาะในช่วงก่อนเทศกาลปีใหม่ โดยจะนำไปฝากขายตามร้านจำหน่ายอุปกรณ์เบเกอรี่และร้านขายของฝาก 

    ในตอนแรกตั้งใจจะทำเป็นแค่ขนมทานเล่นจำพวกแครกเกอร์เท่านั้น แต่ต่อมามีร้านขายอุปกรณ์เบเกอรี่แนะนำว่าจริง ๆ แล้วคุกกี้แฟนซีของเธอสามารถขายในกลุ่ม “วัสดุตกแต่งเบเกอรี่” ได้ด้วย เพราะในช่วงปีใหม่ร้านเบเกอรี่ส่วนใหญ่จะผลิตเค้กจำนวนมาก ทำให้บางครั้งการตกแต่งหน้าเค้กด้วยการวาดหน้าเค้กเพียงอย่างเดียวอาจไม่ทัน-ไม่โดนความต้องการของลูกค้า ก็อาจหันมาใช้คุกกี้แฟนซีเหล่านี้ประดับแทน 

    เจ้าของไอเดียบอกว่า นอกจากจะใช้ประดับหน้าเค้กได้แล้ว ร้านไอศกรีม ร้านน้ำแข็งไส ก็นิยมใช้คุกกี้แฟนซีประดับตกแต่งด้วยเช่นกัน “สินค้าก็เลยขายได้ทั้ง 2 กลุ่ม คือ ขนมทานเล่น กับวัสดุตกแต่งเบเกอรี่” 

    สำหรับทุนเบื้องต้นในการทำอาชีพนี้นั้น เธอบอกว่า ใช้เงินลงทุนน้อยมาก หากไม่ต้องลงทุนในเรื่องของอุปกรณ์ชิ้นใหญ่อย่างเตาอบอุตสาหกรรม โดยเงินลงทุนนั้นอยู่ที่ไม่เกิน 1,000 บาท ส่วนทุนวัตถุดิบต่อกำลังการผลิตที่ 300 ชิ้น ใช้เงินทุนในส่วนนี้เพียงแค่ไม่เกิน 200 บาท

    ขณะที่เรื่องรายได้-การจำหน่ายเธอบอกว่า จากการที่ทำจำหน่ายมาเป็นเวลา 2 ปี เฉพาะในช่วงก่อนเทศกาลปีใหม่ถือว่ารายได้ค่อนข้างดี ลงทุนค่อนข้างน้อย ใช้เวลา ฝีมือ และไอเดียในการคิดหน้าคุกกี้เป็นหลัก โดยราคาที่จำหน่ายอยู่นั้น ราคาขายปลีก 20 ชิ้น 35 บาท และราคาขายส่งอยู่ที่ 100 ชิ้น 100 บาท

    อุปกรณ์ที่ใช้
    • ก็มีเพียงถาดสำหรับตากคุกกี้

    • ชามหรือกะละมังใส่ส่วนผสมหน้าคุกกี้ และที่ตีส่วนผสม

    ซึ่งส่วนผสมที่ใช้ในการผลิตครีมสำหรับวาดหน้าคุกกี้ มี 

    • ไข่ขาว (ไข่ไก่ขนาด กลาง) 3 ฟอง

    • น้ำตาลไอซิ่ง 500 กรัม

    • มัลติฟลายเออร์หรือศัพท์ที่คนทำเบเกอรี่รู้จักดีในชื่อย่อว่า เอส.พี. ประมาณ 1 ช้อนชา

    • คุ้กกี้

    • สีผสมอาหารชนิดผง

    “ส่วนใหญ่จะเลือกใช้คุกกี้หรือขนมปังกลมชนิดเค็ม เพราะเนื่องจากเนื้อครีมที่ใช้ทำหน้าคุกกี้มีรสหวานอยู่แล้ว หากใช้ขนมปังหรือคุกกี้ที่มีรสหวานจะทำให้คนทานรู้สึกว่าหวานหรือเลี่ยนจนเกินไป จึงใช้คุกกี้ที่มีรสเค็มเป็นตัวตัดความหวานของหน้าคุกกี้”


    ขั้นตอนการทำ
    • เริ่มจากนำไข่ไก่ 3 ฟองมาตอกออกและคัดเฉพาะไข่ขาวมาใช้งานเท่านั้น

    • จากนั้นนำน้ำตาลไอซิ่งที่เตรียมไว้ในจำนวน 500 กรัมผสมลงไปในไข่ขาว และใส่มัลติฟลายเออร์ หรือ เอส.พี.ลงไปประมาณ 1 ช้อนชา

    • หยดสีผสมอาหารลงไปในส่วนผสมข้างต้นเพียงเล็กน้อย

    • จากนั้นใช้ที่ตีส่วนผสมตีหรือคนให้เข้ากันจนเป็นเนื้อครีมที่ต้องการ หากต้องการสีอื่นก็ให้ทำตามส่วนผสมนี้ เพียงแต่เปลี่ยนสีและกลิ่นที่ใช้ตามต้องการ (สาเหตุที่ใช้สีผสมอาหารชนิดผงนั้น เจ้าของสูตรบอกว่า เพื่อไม่ให้เนื้อครีมมีส่วนผสมที่เป็นน้ำมากเกินไป จนทำให้ความเข้มข้นและความหนืดของเนื้อครีมลดลง)

    • นำเนื้อครีมที่ได้มาอัดใส่กรวยสำหรับวาดหน้าเค้ก โดยอาจจะใช้ถุงพลาสติกที่ม้วนจนเป็นรูปกรวยแทนการใช้กรวยสำเร็จรูป เพื่อเป็นการประหยัดต้นทุนในเรื่องวัสดุ

    • เมื่อนำเนื้อครีมใส่กรวยวาดหน้าเค้กแล้ว ก็เริ่มทำการหยอดให้เป็นรูปตามที่จินตนาการลงบนคุกกี้

    • พอวาดหน้าคุกกี้เสร็จแล้วก็นำไปตากแดดโดยใช้เวลาตากประมาณ 1 วัน หรือหากอบคุกกี้ในเตาอบอุตสาหกรรม ก็ให้ใช้ความร้อนประมาณ 180 องศาฟาเรนไฮต์ โดยใช้เวลาอบประมาณ 10 นาที

    • จากนั้นผึ่งให้เย็นสักครู่ ก่อนจะนำบรรจุถุง


    “ส่วนใหญ่ที่นิยมตอนนี้จะเน้นไปที่ตัวการ์ตูนน่ารักสีสันสดใส ส่วนความละเอียดหรือรูปแบบขึ้นอยู่กับคนทำเป็นสำคัญ เรียกได้ว่าไอเดียไม่มีตัน อยู่ที่ว่าใครจะคิดรูปแบบไหนออกมา ยิ่งใช้หีบห่อบรรจุภัณฑ์สวยงามก็จะยิ่งทำให้สินค้ามีมูลค่าเพิ่มขึ้นอีก” ...เจ้าของสูตรคุกกี้แฟนซีกล่าว

    ปัจจุบัน สิริพร ศรีเพ็ง ทำ “คุกกี้แฟนซี” อยู่ที่ 45/1 หมู่ 3 อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ ใครอยากจะติดต่อก็ โทร.08-7070-0039 ซึ่งเจ้าตัวบอกทิ้งท้ายว่า อาชีพนี้ไม่ยาก ใครสนใจก็ลองฝึกหัดทำตามขั้นตอนที่กล่าวมา...

    อาจจะเป็นรายได้หลัก-รายได้เสริมที่ดีในช่วงปีใหม่นี้ !!.

    ศิริโรจน์ ศิริแพทย์/จเร รัตนราตรี

    'ตุ๊กตาผ้า' ขายได้ขายดีทุกเทศกาล


    'ตุ๊กตาผ้า' ขายได้ขายดีทุกเทศกาล

    ถ้าพูดถึงของขวัญที่ได้รับความนิยม หนึ่งในของที่คนส่วนใหญ่มักจะซื้อเพื่อเป็นของขวัญมอบให้กับคนที่รักในงานเทศกาลต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ปีใหม่ วาเลนไทน์ รับปริญญา วันเด็ก ฯลฯ ก็จะรวมถึง “ตุ๊กตา” ที่มิใช่แค่ของเล่น เด็กเท่านั้น ซึ่ง “ตุ๊กตาผ้า” ก็เป็นหนึ่งในตุ๊กตายอดฮิต และวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลมานำเสนอ...

    สุชญา สุขหงษ์ ประธานกลุ่มหัตถกรรมผลิตตุ๊กตาบ้านวังน้ำเขียว ต.วังน้ำเขียว อ.กำแพงแสน จ.นครปฐมเป็นผู้ที่ผลิตและจำหน่ายตุ๊กตาทุกชนิด ภายใต้ชื่อ “PLOY TOYS” ซึ่งมีประสบการณ์ในการผลิตตุ๊กตามานานกว่า 10 ปี ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของกลุ่มมีจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ

    ก่อนที่จะมายึดอาชีพทำตุ๊กตานั้น สุชญาเล่าว่า เคยทำงานบริษัทผลิตตุ๊กตาส่งออก อยู่ฝ่ายการตลาด แต่ในช่วงยุคเศรษฐกิจฟองสบู่แตก บริษัทที่ทำอยู่ก็เริ่มให้คนงานออก และตนก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น หลังจากตกงานก็เริ่มหาช่องทางอาชีพทำ และก็ตกลงกับสามีว่าจะมาทำ “ตุ๊กตา” ขาย

    “จากที่เคยอยู่ฝ่ายการตลาดของบริษัทเก่า ทำให้เห็นว่ายอดขายตุ๊กตามียอดจำหน่ายที่สูง บวกกับเป็นคนที่ชอบตุ๊กตาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงยิ่งทำให้เป็นเรื่องง่ายในการที่จะตัดสินใจทำตุ๊กตาผ้าขาย”

    การทำตุ๊กตาอาจไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนที่ไม่มีความรู้ทางด้านนี้ แต่ก็ไม่ยากถ้ามีความพยายาม พอเริ่มที่จะทำจริงจังก็เริ่มศึกษาวิธีการทำด้วยตัวเอง โดยหาซื้อตุ๊กตาผ้ามาแกะแยกชิ้นส่วนออกจนหมดทุกชิ้น เพื่อที่จะนำมาเป็นตัวอย่างในการทำ แรก ๆ ตุ๊กตาที่ทำออกมาจะนำไปขายตามงานวัดและตลาดนัด

    ตุ๊กตาที่ผลิตขึ้นก็พอขายได้ แต่ยังไม่ค่อยมีมาตรฐาน อีกทั้งการบริหารจัดการต่าง ๆ ก็ยังไม่ดี สุชญาจึงเข้าไปอบรมในโครงการพัฒนาผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาเพิ่มพูนความรู้ ความสามารถด้านบริหารจัดการธุรกิจในแต่ละด้าน ให้แก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชน

    หลังจากที่ได้เข้าอบรมก็สามารถวางแผนในการจัดการธุรกิจได้ดีขึ้น รู้จักการจัดทำบัญชี ได้เรียนรู้เทคนิคด้านการตลาด เทคนิคการขาย จากนั้นก็เริ่มมาพัฒนากลุ่มผลิตตุ๊กตาให้มีมาตรฐานมากขึ้น จนปัจจุบันผลิตภัณฑ์เริ่มเป็นที่ยอมรับจากลูกค้า ผลิตส่งให้กับบริษัทลิขสิทธิ์ถึง 70% และทางกลุ่มผลิตจำหน่ายเอง 30%

    “ธุรกิจผลิตตุ๊กตาผ้า สินค้าที่ผลิตออกมาจะต้องเป็นที่ถูกใจลูกค้าจึงจะขายได้ เพราะฉะนั้นรูปแบบของตุ๊กตาจะต้องมีความโดดเด่น ที่สำคัญจะทำให้ธุรกิจไปรอดก็จะต้องเน้นในเรื่องคุณภาพสินค้า ตรงต่อเวลา และความซื่อสัตย์”สุชญากล่าว

    ในการผลิต “ตุ๊กตาผ้า” ขาย วัสดุอุปกรณ์ในการทำที่สำคัญ ๆ ก็มีจักรเย็บผ้า, ผ้าสำหรับทำตุ๊กตาโดยเฉพาะ, ใยสำหรับยัดในตัวตุ๊กตา...

    แหล่งวัตถุดิบที่เป็นแหล่งใหญ่ที่สามารถไปหาซื้อได้อยู่ที่ย่านบางบอน...

    ขั้นตอนการทำ เริ่มจากออกแบบตุ๊กตา หรือหาต้นแบบตุ๊กตาที่ต้องการจะทำ หลังจากที่ได้แบบที่ต้องการก็ทำแพตเทิร์น ซึ่งตุ๊กตา 1 ตัว อาจมีแพตเทิร์น 25-40 ชิ้น จากนั้นก็นำแพตเทิร์นไปวางทาบบนผ้า วาดตามรอยจากนั้นก็ตัดตามรอยเส้น ซึ่งวิธีนี้เป็น วิธีที่ง่าย แต่งานอาจจะช้าหน่อย

    ในส่วนของสุชญาจะใช้วิธีการนำแพตเทิร์นที่ได้ไปวาดลงบนแผ่นกระเบื้องกันความร้อน จากนั้นก็จะตัดตามแบบ ใช้เส้นลวดกันความร้อนชนิดแบนติดตามขอบกระเบื้องกันความร้อนที่ตัดตามแพตเทิร์น ล็อกติดเข้าด้วยกันโดยใช้ลวดกันความร้อนเส้นเล็กเป็นตัวรัด เชื่อมต่อสายไฟที่จะต้องไปเสียบเข้ากับหม้อแปลงไฟฟ้าปรับแรงดัน สุดท้ายต่อด้ามจับด้วยไม้ วิธีการใช้ก็แค่เสียบปลั๊กไฟเข้ากับหม้อแปลงปรับแรงดันไฟฟ้า รอให้ลวดเกิดความร้อน จากนั้นก็ทำการปั๊มลงบนผ้า

    วิธีนี้เป็นวิธีที่รวดเร็วในการตัดผ้า แต่ก็ต้องใช้ทุนสูงหน่อย โดยหม้อแปลงปรับแรงดันไฟฟ้ามีราคาอยู่ที่ประมาณ 12,000-13,000 บาท...

    เมื่อได้ชิ้นส่วนตุ๊กตาทุกชิ้นครบ ก็ทำการเย็บแต่ละชิ้นให้เรียบร้อย ขั้นตอนต่อไปก็คือการยัดใย ก่อนยัดใยก็นำชิ้นส่วนที่แยกเย็บมาเย็บประกอบกันให้เรียบร้อย แล้วทำการยัดใย ยัดเสร็จก็ทำการตกแต่งภายนอกให้เรียบร้อย

    การยัดใยใส่ในตัวตุ๊กตานั้นสามารถยัดด้วยมือได้สำหรับผู้ที่ยังไม่มีเงินทุนที่จะซื้อเครื่องฉีดใย ส่วนเครื่องฉีดใยนั้นมีราคาอยู่ที่ประมาณ 300,000 บาท ซึ่งคุณภาพตุ๊กตาที่ยัดใยด้วยเครื่องก็จะนิ่งกว่าการใช้มือ

    จากนั้นก็ทำการเย็บปิดรูของตัวตุ๊กตาที่เป็นจุดยัดใย ก็เป็นอันเสร็จขั้นตอน พร้อมจำหน่าย

    ตุ๊กตาของกลุ่มหัตถกรรมผลิตตุ๊กตาบ้านวังน้ำเขียว มีราคาขายตั้งแต่ 30-1,000 บาท โดยมีต้นทุนอยู่ที่ประมาณ 70% ของราคาจำหน่าย ใครสนใจสั่งซื้อก็สามารถติดต่อได้ที่ โทร. 08-1616-5967

    จะสั่งไปจำหน่ายต่อเป็นอาชีพ หรือจะลองฝึกฝนทำขายเองก็สุดแท้แต่ !!.

    Thai Go ฟาสต์ฟู้ด อาหารไทย...ในอเมริกา


    Thai Go ฟาสต์ฟู้ด อาหารไทย...ในอเมริกา
    ตามนโยบาย "ครัวไทยสู่ครัวโลก" ในส่วนของการสร้างโอกาสในการขยายตลาดนั้น ในรูปของร้านอาหารไทยในต่างแดน ที่ภาคเอกชนดำเนินการอยู่ในขณะนี้ มีด้วยกัน 2 แนวทาง คือ นักธุรกิจในประเทศไทย สร้าง แบรนด์ และพัฒนาจนเป็นโมเดลธุรกิจร้านอาหารไทย ที่เข้มแข็ง และขายแฟรนไชส์ไปต่างประเทศ 

    และอีกแนวทางหนึ่งก็คือ ผู้ประกอบการร้านอาหารไทยที่อยู่ต่างแดน มีศักยภาพและเห็นโอกาส ในการที่รัฐบาลให้การส่งเสริมและสนับสนุน จึงใช้โอกาสนี้เพื่อการต่อยอดธุรกิจ โดยใช้พื้นฐานและศักยภาพของตัวเองที่ชำนาญพื้นที่ รู้จักตลาด รู้ช่องทางเป็นทุน ต่อยอดธุรกิจ

    "Thai Go" คือต้นแบบในแนวทางที่ 2 ที่ถูกพัฒนาและสร้างขึ้นโดยคนไทยที่เข้าไปตั้งหลักปักฐานที่อเมริกามานาน และมองเห็นลู่ทางในการทำธุรกิจร้านอาหารไทยในรูปแบบฟาสต์ฟู้ด

    ปัญญา ทิพยโสติถิ ประธานกรรมการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและแฟรนไชส์ บริษัท ไทยฟู้ด อินเตอร์เนชั่นแนล อิงค์ กล่าวว่า ผมต้องการสร้าง "Thai Go" ให้เป็นฟาสต์ฟู้ดร้านอาหารไทย กระจายไปทั่วประเทศอเมริกา ซึ่งมองว่ามีโอกาสทางการตลาดสูงมาก ซึ่งปัจจุบันทางบริษัทได้มีการลงทุนทำมา 2-3 ปีแล้ว ปัจจุบันมีอยู่ 9 สาขา และสามารถทำรายได้และกำไรเป็นที่น่าพอใจ จึงอยากที่จะฉกฉวยโอกาสนี้ขยายสาขาในรูปแบบของแฟรนไชส์

    เพราะที่อเมริกา แฟรนไชส์ร้านอาหารไทยในรูปแบบฟาสต์ฟู้ดยังไม่มีใครทำ ถ้าเริ่มก่อน โอกาสก็มาถึงเราก่อน

    "ในอเมริกา ร้านอาหารไทยส่วนใหญ่จะเป็นรูปแบบร้านมีที่นั่งตกแต่งในสไตล์ที่หรูหรา ซึ่งก็เป็นโอกาสที่ดีช่องทางหนึ่ง แต่ในรูปแบบของฟาสต์ฟู้ด ก็จะเป็นโอกาสที่ดีอีกช่องทางหนึ่งอีกเช่นกัน เพราะเราจะไปตั้งอยู่ในฟู้ดคอร์ตต่างๆ"

    ซึ่งรูปลักษณ์จะเป็นเคาน์เตอร์ มีพื้นที่สำหรับทำครัวอยู่ด้านหลัง รูปแบบคล้ายๆ กับฟู้ดคอร์ตในบ้านเรา จะต่างก็ตรงที่ร้านใกล้เคียงเป็นร้านที่ขายอาหารนานาชาติ อาทิ จีน อเมริกัน ฯลฯ เรียกได้ว่าค่อนข้างหลากหลาย โดยมี "Thai Go" เป็นหนึ่งในทางเลือก

    เรื่องของเมนูจะมีถึง 2 ทางเลือกไว้คอยบริการ คือ 1.อาหารจานด่วน ก็คือ ข้าวราดแกง ซึ่งจะมีอาหารให้เลือกประมาณ 8-9 อย่าง/วัน อาทิ แกงไก่ ผัดพริกขิง ไก่ทอดกระเทียมพริกไทย

    ผัดผักรวม ฯลฯ ราคาต่อจาน ถ้าเป็นกับข้าว 1 อย่าง 4.95 เหรียญ, 2 อย่าง 5.95 เหรียญ แต่ถ้า 3 อย่าง 6.50 เหรียญ

    ส่วนรูปแบบที่ 2. เมนูตามสั่ง ราคาจะแพงหน่อยประมาณ 6.50 เหรียญ และต้องรอประมาณ 5-10 นาที

    ซึ่งการเปิดให้บริการแบบนี้ ปัญญาอธิบายให้ฟังว่า ปัจจุบันเทรนด์การบริโภคของคนอเมริกันเริ่มเปลี่ยน คือนอกจากจะนิยมอาหารเพื่อสุขภาพแล้ว ยังชอบที่จะรับประทานอาหารที่ปรุงสดๆ จากเดิมที่นิยมอาหารแช่แข็งเข้าไมโครเวฟ

    ซึ่งจากที่ทำมาตลอด 3 ปีที่ผ่านมา สำหรับอาหารไทยสไตล์ฟาสต์ฟู้ดมีการเติบโตที่ดี มียอดขายเฉลี่ยประมาณ 500,000-600,000 เหรียญ/ปี ถ้าอยู่ในโลเกชั่นที่ดีก็อาจทะลุ 800,000- 1,000,000 เหรียญ/ปี ตามยอดขายนี้หักต้นทุนทุกอย่างเหลือเป็นกำไรก่อนหักภาษีประมาณ 10-15%

    การพัฒนาระบบฟาสต์ฟู้ดร้านอาหารไทยขึ้นมา เหมือนเป็นการเรียนลัดในด้านการลงทุนร้านอาหารไทย เพราะเรามีการย่อส่วนในการลงทุน ย่อส่วนในเรื่องของการบริหารจัดการ เรื่องบุคลากร เชฟ พนักงานเสิร์ฟ ฯลฯ ทุกส่วน

    ถ้าเราลงทุนร้านอาหารไทยในรูปแบบเป็นร้าน จะยากเพราะความใหญ่ความครบถ้วนก็จะแบบหนึ่ง แต่ถ้าเป็นฟาสต์ฟู้ดอาหารไทย โมเดลธุรกิจที่มีระบบการบริหารจัดการที่พร้อมแล้ว ความยากก็จะลดลง รวมถึงเม็ดเงินในการลงทุนด้วย

    ซึ่งสำหรับเงินลงทุนฟาสต์ฟู้ด "THAI GO" อยู่ที่ประมาณ 250,000 เหรียญ ! คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 10 ล้านบาท

    แยกเป็นค่าใช้จ่ายในด้านต่างๆ ดังนี้ ค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์ 30,000, ค่าออกแบบและใบอนุญาต 10,000, ค่าก่อสร้างปรับปรุงร้าน 100,000, ค่าวัสดุอุปกรณ์ในครัว 50,000, ค่าระบบคอมพิวเตอร์และเครื่องเก็บเงิน 15,000, ค่าสินค้าคงคลัง 5,000, ค่าฝึกอบรมและโฆษณาก่อนเปิด 15,000, ค่ามัดจำการเช่าร้าน 1 เดือน 15,000 และเงินสดสำรอง 15,000 รวมเป็นเงินที่ต้องใช้ในการเปิดร้าน 250,000 เหรียญสหรัฐ นอกจากนี้แฟรนไชซีต้องจ่ายรอยัลตี้ฟี 5% ของยอดขายทุกเดือน

    ปัญญาบอกว่า จากประสบการณ์ของทีมงานที่คลุกคลีอยู่ในธุรกิจร้านอาหารไทยในอเมริกามานานเกือบ 20 ปี มองเห็นถึงโอกาสว่า อาหารไทยสามารถเติบโตได้อย่างดีในสหรัฐอเมริกา แต่ยอมรับว่า ทางบริษัทมีข้อจำกัดในเรื่องของเงินทุน จึงได้พัฒนาธุรกิจออกมาในรูปของแฟรนไชส์ เพื่อเปิดหาพันธมิตรที่มองเห็นโอกาสร่วมกัน

    "ซึ่งไม่ได้จำกัดแต่นักลงทุนไทย แต่เปิดกว้างรองรับนักลงทุนชาวเอเชีย ยุโรป อเมริกา ที่สนใจอยากลงทุนอาหารไทยด้วย"

    ปัญญาอธิบายต่อว่า และข้อดีสำหรับธุรกิจแฟรนไชส์นั้น ก็คือ การันตีความสำเร็จ !

    ที่กล่าวเช่นนี้ เพราะการทำธุรกิจแฟรนไชส์ในประเทศสหรัฐ อเมริกานั้น ต่างกับเมืองไทย เมืองไทยกฎหมาย กฎ กติกา อาจจะยังไม่เข้มงวด แต่ที่อเมริกา ทุกอย่างต้องพร้อมตรวจสอบได้ การจะทำระบบแฟรนไชส์ได้ต้องขออนุญาตก่อน ได้ใบอนุญาตถึงจะดำเนินการได้ ซึ่งกว่า "THAI GO" จะได้ใบอนุญาตก็ต้องผ่านการตรวจสอบในทุกๆ ด้านมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องระบบการบริหารจัดการ ความเป็นไปได้ของธุรกิจ เรื่องของการเงิน การบัญชี บุคลากร ฯลฯ ซึ่งถ้าไม่เฟิร์ม ไม่มีทางผ่าน

    ฉะนั้นปัญหาที่จริงๆ เวลานี้ก็คือ ทุน !

    "ที่ผ่านมา การทำธุรกิจร้านอาหารไทยร้านแรก ใช้เงินยืมจากพี่ เพื่อน ญาติ เงินลงทุนก้อนแรกประมาณ 50,000 เหรียญ จากร้านแรกก็ขยายร้านที่ 2 โดยใช้กำไรในการขยายธุรกิจ มีล้มลุกคลุกคลานบ้าง ใช้เงินหมุนจากบัตรเครดิตบ้าง เงินกู้จากสถาบันการเงินในอเมริกา แต่ก็ได้ไม่มาก....หลักใหญ่จึงเป็น เงินต่อเงิน และห้ามใช้เงินผิดประเภท เงินที่ขายอาหารได้ ต้องคิดอยู่เสมอว่า ไม่ใช่เงินของเราทั้งหมด

    พอรัฐบาลไทยเปิดตัวพร้อมสนับสนุน ล่าสุด ก็เลยหันมากู้แบงก์ไทย ซึ่งล่าสุด เอสเอ็มอีแบงก์ได้อนุมัติให้กู้ประมาณ 14 ล้าน นั่นก็เพียงพอสำหรับการลงทุน ประมาณ 1 สาขา ขณะที่โอกาสในการขยายสาขายังมีมากกว่านี้

    เพราะฉะนั้นสำหรับนักลงทุนที่สนใจ ลองศึกษารายละเอียดของธุรกิจนี้ "อย่าด่วนตัดสินใจ" ให้ศึกษารายละเอียดให้ดีก่อน และหากตัดสินใจแน่นอนแล้ว ตัดสินใจวันนี้ อีก 1 ปีหลังจากนั้น ถึงจะเห็นการลงทุนเป็นรูปเป็นร่างและเปิดขายได้ !

    "โดยที่เรามั่นใจว่า THAI GO น่าจะเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับนักลงทุนที่สนใจธุรกิจอาหารได้เป็นอย่างดี" เจ้าของแฟรนไชส์ THAI GO กล่าวพร้อมกับบอกว่า แต่ทั้งนี้ต้องบอกว่า ธุรกิจอาหารไทยเป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่มีเงินอย่างเดียวไม่พอ ที่สำคัญเจ้าของเงินต้องรักในธุรกิจนี้ด้วย เพราะเป็นธุรกิจบริการ ที่ต้องอาศัยความอดทน และความเข้าใจ ในการหมั่นดูแลเอาใจใส่ เพื่อให้ได้สินค้าอาหารที่ดี มีรสชาติคงเส้นคงวา และมีรสชาติอร่อย และสุดท้ายเป็นอาชีพที่เหนื่อยและหนักพอสมควร !

    ‘หัวใจประดิษฐ์’ กระดาษสาเก่า ‘เป็นเงิน’


    ‘หัวใจประดิษฐ์’ กระดาษสาเก่า ‘เป็นเงิน’

    เรื่องของงานฝีมืองานประดิษฐ์หากรู้จักมองตลาด รู้จักจับกระแส สร้างสรรค์ให้เข้ากับเทศกาล ก็สามารถขายได้สม่ำเสมอทั้งปี และจะดียิ่งขึ้นหากพัฒนาสินค้าให้หลากหลายมากขึ้น โดยไม่ยึดติดอยู่กับรูปแบบเก่าๆ

    อย่างเช่นงาน “หัวใจประดิษฐ์” ที่ผลิตจากวัตถุดิบกระดาษสา รายนี้...

    พรรณี ตรีชัย ประธานกลุ่มทำการ์ดอวยพรกระดาษสา เริ่มจับ “งานกระดาษสา” มานาน 7-8 ปีแล้ว โดยเริ่มจากการทำการ์ดอวยพรก่อน จากนั้นจึงแตกชนิดสินค้าเพิ่มขึ้น จนปัจจุบันมีตั้งแต่การ์ดอวยพร วัสดุสำหรับตกแต่งงานฝีมือ พวงมาลัยจากกระดาษสา จนถึง “หัวใจ” ทรงทึบและโปร่งที่ประดิษฐ์ขึ้นจากกระดาษสา ซึ่งจากประสบการณ์เกี่ยวกับงานด้านกระดาษสาที่มีมายาวนาน ทำให้รู้ว่า “การเลือกใช้กระดาษเก่าใช้แล้ว หรือกระดาษรีไซเคิล มีข้อดีมากกว่าการเลือกใช้กระดาษใหม่” เนื่องจากกระดาษเก่ามีโซดาไฟไม่มาก ทำให้สีติดดีและสวยคงทนกว่ากระดาษใหม่ ที่สำคัญช่วยลดมลพิษและประหยัดต้นทุนลงได้มาก

    สำหรับงานที่ทำอยู่เธอบอกว่า เริ่มจากการทำ “หัวใจประดิษฐ์” ในกระถาง ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้า ต่อมาเริ่มมีลูกค้าเรียกร้องมากขึ้นว่าต้องการหัวใจขนาดใหญ่ขึ้น และต้องการหัวใจดวงเดี่ยว ๆ เพื่อนำไปใช้เป็นของชำร่วยในงานแต่งงาน หรือประดับตกแต่งในงาน จึงทำให้มีสินค้าเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งชนิด

    ตลาดสินค้านั้นนอกจากในประเทศแล้ว ผลงานหัวใจประดิษฐ์ยังส่งออกได้อีกด้วย อาทิ ประเทศอิตาลี ยูเครน และฮ่องกง และบางทีลูกค้าก็ต้องการให้ทำขึ้นเป็นพิเศษเพื่อใช้ในโอกาสพิเศษ โดยมีตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงผู้ใหญ่

    “ตอนนี้ลูกค้าต้องการมาก ยิ่งในช่วงเทศกาลเว็ดดิ้งหรือช่วงวัน วาเลนไทน์ สินค้าจะยิ่งขายดี”

    กับเงินทุนที่ใช้ในการประกอบอาชีพนี้ หากทำเต็มรูปแบบจริงจังต้องใช้งบลงทุนเบื้องต้นประมาณ 300,000 บาท โดยจะหนักในเรื่องของอุปกรณ์ “เครื่องกดและแม่พิมพ์กลีบดอกไม้” สำหรับกดกระดาษสาให้เป็นรูปดอกไม้ โดยตกราคาเครื่องละประมาณ 100,000 บาท ขณะที่แม่พิมพ์หรือโมขึ้นลายต้องสั่งทำกับโรงกลึงเหล็ก เฉลี่ยชุดละ 1,000 บาท ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ประมาณ 80% จากราคาขาย แต่เมื่อทำไปนาน ๆ ก็จะอยู่ตัวและสามารถถอนทุนคืนได้ ซึ่งจะทำให้มีกำไรเฉลี่ยที่มากขึ้นในอนาคต

    วัสดุอุปกรณ์ที่ต้องใช้หากไม่นับเครื่องกดและแม่พิมพ์ทำกลีบดอกไม้ก็จะมี

    อาทิ กระดาษสา, เกสร ดอกไม้, สีย้อมผ้า, กาวเทส เตอร์ชอย (กาวญี่ปุ่น), โฟม, กรรไกร, คัตเตอร์ และวัสดุตกแต่ง เช่น ริบบิ้น, ฟลอร่าเทป

    “การลงทุนครั้งแรก หากต้องการผลิตเยอะ ๆ ก็ต้องใช้เครื่องกดพิมพ์ แต่ถ้าแค่ทำเป็นอาชีพเสริมก็อาจจะใช้กรรไกรค่อย ๆ ตัดกระดาษให้เป็นดอกไม้ก็ได้ แต่จะช้ากว่า”

    ขั้นตอนการทำ
     เริ่มจากนำกระดาษสารีไซเคิลมาเข้าเครื่องกดขึ้นรูปสำหรับทำกลีบดอกไม้ ทำไปเรื่อย ๆ จนได้จำนวนตามต้องการ หรืออาจจะทำเผื่อไว้สำหรับใช้ในอนาคตก็ได้ จากนั้นนำกลีบดอกที่ได้ไปย้อมสีและนำออกไปผึ่งลมให้แห้งสนิท ใช้เวลาประมาณ 2 วัน โดยต้องระวังอย่าให้โดนแดด เนื่องจากจะทำให้สีตก

    จากนั้นนำโฟมมาตัดให้เป็นรูปทรงหัวใจในขนาดที่ต้องการ หรือหากต้องการประหยัดเวลา ก็อาจจะสั่งร้านตัดโฟมให้ตัด ตามแบบและขนาดที่เรากำหนดก็ได้ เมื่อได้โฟมรูปหัวใจแล้วก็มาถึงขั้นตอนการทำดอกไม้ ดอกไม้ส่วนใหญ่ที่นิยมคือ ดอกกุหลาบ เริ่มจากนำเกสรดอกไม้มาเสียบเข้าตรงกลางกลีบดอกอันแรก โดยใช้กาวเทสเตอร์ชอยหรือกาวญี่ปุ่น ซึ่งเป็นกาวใส เวลาทาแล้วจะไม่ค่อยมีรอย เป็นตัวเชื่อมยึด จากนั้นพับกระดาษเข้าไปให้เป็นรูปทรงของดอก ทำแบบนี้ประมาณ 4 ชั้น จากนั้นนำกลีบเลี้ยงมาประกอบด้วยวิธีเดียวกัน

    นำดอกที่ได้ทั้งหมดมาทากาวตรงก้าน จากนั้นเสียบลงบนโฟม วิธีการติดดอกไม้กับโฟมจะต้องเริ่มจากด้านบนของหัวใจไล่ไปจนถึงท้ายหัวใจ ขณะเสียบดอกไม้ต้องคอยบีบบริเวณไหล่หัวใจให้เข้ารูปโค้ง เพื่อจัดไหล่ของหัวใจให้เท่ากัน เมื่อเสียบครบหมดทั้งดวงก็เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำ

    “หัวใจดวงหนึ่งใช้ดอกกุหลาบประมาณ 200-250 ดอก ขึ้นกับขนาดโฟมและดอกที่ใช้ การเสียบดอกไม้ถ้ายังไม่ชำนาญให้ร่างแบบก่อน เพราะก่อนเสียบต้องทากาวที่ก้านดอก ซึ่งพลาดแล้วพลาดเลย”

    ราคาขายหัวใจประดิษฐ์นั้น หากเป็นหัวใจในกระถางอยู่ที่ 55-145 บาท, หัวใจเป็นดวงตกดวงละ 120-250 บาท และพวงมาลัยประดิษฐ์เริ่มต้นที่ 120 บาทขึ้นไป

    “เราต้องพัฒนาตลอด เพราะในตลาดจะมีการเลียนแบบ ซึ่งถือว่าเป็นปัญหาพื้นฐานของสินค้างานฝีมือ ดังนั้นห้ามหยุดนิ่ง ต้องคิดแบบใหม่ ๆ ไว้จะได้ไม่ซ้ำกับใคร อีกทั้งทำให้งานไม่ซ้ำซากจำเจ” เจ้าของงานบอก

    สนใจงานผลิตภัณฑ์ “หัวใจประดิษฐ์” หรือต้องการซื้ออุปกรณ์ ติดต่อ พรรณี ตรีชัย กลุ่มทำการ์ดอวยพรกระดาษสา ได้ที่เลขที่ 310 ซอยวงศ์สว่าง 11 เขตบางซื่อ กรุงเทพฯ โทร. 0-2913-1900-1, 08-1515-1940

    ส่วนคนที่สนใจอยากจะลองฝึกทำงานประเภทนี้ก็สามารถสอบถามไปได้เช่นกัน